'บิ๊กตู่'ฟุ้ง5ปีคสช.คืนความสงบสุขให้ชาวไทย
การเมือง

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” ตอนหนึ่งว่า ตนขอหยิบยก 2 ประเด็นหลักๆ ที่เป็นการแก้ปัญหาในอดีตได้อย่างยั่งยืน เรื่องแรกก็คือปัญหาด้านการศึกษา ซึ่งประเด็นการพัฒนาปฏิรูปการศึกษา เป็นสิ่งที่ทุกรัฐบาลให้ความสำคัญ และพยายามแก้ไขปัญหามาต่อเนื่อง แม้จะมีงบประมาณ และลงทุนด้านการศึกษามากกว่า 5 แสนล้านบาทต่อปี แต่ปัญหานี้ยังคงเรื้อรังและรุนแรงขึ้น รัฐบาลจึงร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษา เร่งดำเนินการสำหรับกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ให้จัดตั้งกองทุนเพื่อใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ำในการศึกษา เสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยดูแลกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส ตั้งแต่เด็กแรกเกิด จนถึงวัย 18 ปีขึ้นไป รวมทั้งสิ้นประมาณ 4.3 ล้านราย
ทั้งนี้กสศ. ได้จัดให้มีระบบสารสนเทศเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา หรือเรียกว่า ไอ-ซี (iSEE) ที่เป็นระบบรายงานข้อมูลจากฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ของ กสศ. เพื่อจะช่วยให้ผู้ทำนโยบายมองเห็นสถานการณ์ความเหลื่อมล้ำได้ชัดเจนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ นอกจากนี้แล้วรัฐบาลยังให้การสนับสนุนให้จัดการศึกษาในรูปแบบโรงเรียนร่วมพัฒนา ซึ่งเป็นแนวคิดการสร้างนวัตกรรมการบริหารจัดการสถานศึกษา ภายใต้บทบาท ความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงศึกษาธิการ กับบริษัท มูลนิธิ องค์กร –หรือสถาบันต่างๆ ที่ให้การสนับสนุนทรัพยากร และมีส่วนร่วมในการบริหารสถานศึกษาตามโครงการนี้ โดยทำงานร่วมกันตามรูปแบบประชารัฐ
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวต่อว่า สำหรับเรื่องที่สองเป็นเรื่องการสร้างความยั่งยืนให้กับการประมงของไทย การทำการประมงของไทยในอดีตเกิดปัญหาการใช้แรงงานบังคับและค้ามนุษย์ประกอบกับกฎกติกาที่มีอยู่ มีความล้าสมัย ทั้ง พ.ร.บ. ประมง (พ.ศ. 2490) และ พ.ร.บ. เรือไทย (พ.ศ. 2481) ไม่เป็นสากล จนเกิดปัญหาการประมงผิดกฎหมาย (ไอยูยู) และปัญหาค้ามนุษย์ตามมา ซึ่งรัฐบาลนี้ได้เข้ามาแก้ไขปัญหา ตลอดระยะเวลากว่า 3 ปี ก็ได้ยึดหลักแก้ปัญหาด้วยการทำประมงที่ยั่งยืน โดยจะต้องเคารพกติกาสากล 3 ส่วน คือ เรือจับปลา คนจับปลา และการทำการประมงที่มีกฎกติการองรับ โดยกำหนดกรอบการทำงานออกเป็น 6 ด้าน ได้แก่ ด้านกฎหมาย ด้านการจัดการกองเรือ ด้านการติดตาม ควบคุม และเฝ้าระวัง ด้านการตรวจสอบย้อนกลับ ด้านการบังคับใช้กฎหมาย และด้านแรงงานภาคประมง ซึ่งต้องดำเนินการไปพร้อมๆกัน จากทุกภาคส่วน
ทั้งนี้ผลจากการดำเนินการที่ผ่านมาทำให้ทรัพยากรสัตว์น้ำ กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง เห็นได้จากการบันทึกการทำประมงของชาวประมงพาณิชย์ (logbook) ในปี 2561 ที่มีปริมาณการจับสัตว์น้ำได้ เพิ่มมากขึ้นกว่าปี 2560 ประมาณ 200,000 ตัน อีกทั้งรัฐบาลได้มอบหมายให้กรมประมงปรับเพิ่ม วันทำการประมง ประจำปีการประมง 2561 เริ่มตั้งแต่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. สำหรับเรือประมงพาณิชย์ ทั้งฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน อันเป็นผลสัมฤทธิ์ จากการแก้ไขปัญหาการทำประมงผิดกฎหมาย ที่ทำให้ท้องทะเลไทยมีความยั่งยืน.