ข่าวรพ.เอกชนท้าเอารพ.รัฐอยู่ใต้ก.ม.เดียวกัน กางใบเสร็จให้ชัด! - kachon.com

รพ.เอกชนท้าเอารพ.รัฐอยู่ใต้ก.ม.เดียวกัน กางใบเสร็จให้ชัด!
การเมือง

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ที่ซ.ศูนย์วิจัย สมาคมรพ.เอกชน นำโดยนพ.พงษ์พัฒน์ ปธานวนิช นายกสมาคมฯ นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ อดีตนายกสมาคมฯ นอ.(พิเศษ) ไพศาล จันทรพิทักษ์ และนพ.สุรพงษ์ อำพันวงศ์ ได้มีการแถลงข่าวชี้แจงกรณีคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้า และบริการ (กกร.) มีมติยกระดับให้ค่ารักษาพยาบาลเป็นสินค้าควบคุม และเสนอต่อรมว.พาณิชย์ เพื่อเตรียมเสนอเข้าคณะรัฐมนตรีเร็วๆ นี้

โดย นพ.พงษ์พัฒน์ กล่าวว่า กรณีที่มีการระบุว่ายา ค่ารักษาในรพ.เอกชนมีราคาแพงนั้นเรียนว่าเป็นเพราะต้องมีการลงทุนในการให้บริการต่างๆ เองทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ภายใต้พ.ร.บ.สถานพยาบาล พ.ศ. 2541 ที่ควบคุมเรื่องมาตรฐานสถานพยาบาล อาทิ ขนาดของโรงพยาบาล จะต้องมีกี่เตียงงมีแพทย์ พยาบาล ห้องผ้าตัดรองรับจำนวนเท่าไหร่ ต้องมีเภสัชกรและมาตรฐานในการจัดเก็บยา นอกจากนี้ เรื่องการใช้ยาในรพ.ยังต้องมีการตรวจวินิจฉัยและการจ่ายยาให้เหมาะสมกับโรค ไม่ให้ยาตีกัน เป็นต้น ซึ่งต่างจากร้านขายยา สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุนที่รพ.เอกชนต้องออกเอง ในขณะที่รพ.ของรัฐ เงินลงทุนต่างๆ รวมถึงค่าแพทย์ ค่าบุคลากรจะใช้เงินงบประมาณที่มาจากภาษีของพวกเราทั้งสิ้น นี่คือความแตกต่างในเรื่องของใบเสร็จ และที่สำคัญคือการที่รพ.รัฐไม่ได้อยู่ภายใต้พ.ร.บ.สถานพยาบาลแบบเดียวกันนี้ทำให้ใบเสร็จมีความแตกต่างกัน เชื่อว่าหากทุกรพ.ทั้งรัฐและเอกชนต่างอยู่ในกฎหมายเดียวกันก็จะทำให้เห็นภาพสิ่งที่เกิดขึ้นจริง คำนวณง่าย เพราะมีใบเสร็จแบบเดียวกัน

ส่วนกรณีค่าแพทย์ที่มีการระบุว่าเป็นอัตราสูงเป็นการกำหนดโดยแพทยสภาทั้งสิ้น ไม่ได้มีการตั้งราคาเอง ไม่ได้เรียกเก็บเกินจากนี้ และล่าสุดทราบว่าทางแพทยสภาอยู่ระหว่างการปรับปรุงอัตราค่าธรรมเนียมแพทย์ฉบับ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันรพ.เอกชน จัดเป็นรพ.ทางเลือก ที่มีผู้ป่วยจำนวนมาก อย่างปีที่แล้วมีผู้ป่วยนอกประมาณ 60 ล้านคน ผู้ป่วยในประมาณ 4 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศกว่า 2 แสนล้านบาท และด้วยศักยภาพและมาตรฐานทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้ป่วยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ความนิยมสูงกว่าประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ด้วยซ้ำ หากมีการควบคุมเรื่องราคาไม่เปิดเสรีก็จะทำให้ไม่เอกชนไม่มีศักยภาพในการแข่งขัน ไม่เกิดการพัฒนา แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเอกชนไม่ช่วย เพราะที่ผ่านมาก็ให้ความร่วมมือในการรักษาตามโครงการ โยบายเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต มีสิทธิทุกที่ (UCEP) ซึ่งค่ารักษาผู้ป่วยวิกฤติสีแดง ตรงนี้ถึงแม้ว่าจะได้ในอัตรา 20 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ก็ยินดีให้ความร่วมมือเพราะถือว่าช่วยเหลือผู้ป่วยซึ่งเราเข้าใจดีว่าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้

ด้านนพ.เฉลิม กล่าวว่า ในการประชุมด่วนร่วมกันระหว่างรมว.พาณิชย์ รพ.เอกชน และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อวันที่ 11 ม.ค.ที่ผ่านมา ทางที่ประชุมก็ได้รับฟังข้อมูลมากพอสมควร รวมถึงประเด็นที่รพ.เอกชนต้องอยู่ภายใต้พ.ร.บ.สถานพยาบาล ซึ่งข้อกำหนดในนั้นทำให้เกิดต้นทุนค่ารักษา ค่ายาเพิ่มขึ้น ก็ดูเหมือนว่าจะเข้าใจดี คิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่มีผลกระทบมาก การจะนำมติ กกร.เข้าครม.ต้องมีการคุยกันให้มากกว่านี้ จะเดินหน้า ถอยหลังอย่างไร  

ทั้งนี้ คนไทยทุกคนที่เกิดมาล้วนมีสิทธิการรักษาพยาบาลที่รัฐดูแลทุกคน 100 เปอร์เซ็นต์ ทั้งระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) ประกันสังคม และสวัสดิการข้าราชการ ซึ่งไม่ต้องจ่ายเงินเลยด้วยซ้ำ ถ้ารพ.แรกดูแลไม่ไหวก็มีระบบส่งต่อไปตามระดับของรพ.อยู่แล้ว การจะบอกว่าล้มละลายเพราะค่ารักษาแพงนั้นทำให้ตนงงมาก ถามว่าแล้วสิทธิที่มีอยู่ไปไหน ถ้าหากคนไทยเข้ารับการรักษาตามสิทธิ ตามระบบบาทเดียวก็ไม่เสีย แต่ถ้าเลือกที่จะข้ามสิทธิก็ต้องรู้ว่ามีค่าใช้จ่ายอย่างไร  ถ้าพูดเรื่องไม่พอใจคุณภาพของรพ.รัฐก็ต้องบอกให้มีการปรับปรุง

เมื่อถามว่ามีรายงานว่าเมื่อ 2-3 ปีก่อนมีรพ.เอกชน มีอัตราค่ารักษาเพิ่มขึ้นถึงประมาณ 40 เปอร์เซ็นต์  นพ.สุรพงษ์ กล่าวว่า เป็นบางรพ.เท่านั้น แต่ก็ต้องไปดูในรายละเอียดว่าเป็นเพราะมีการปรับบริการ ปรับการรักษา มีการนำเข้าเทคโนโลยีใหม่ๆ หรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียด เพราะแต่ละรพ.มีรายละเอียด มีต้นทุนต่างกัน.