ข่าวนักวิชาการวัดใจรัฐบาลคุมรถยนต์-จำกัดเข้าพื้นที่กทม. - kachon.com

นักวิชาการวัดใจรัฐบาลคุมรถยนต์-จำกัดเข้าพื้นที่กทม.
การเมือง

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 15 ม.ค. นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสึชภาพจิต กล่าวว่า สำหรับประชาชนที่มีความเครียดอยู่แล้วทั้งจากเรื่องรายได้ ครอบครัวและสุขภาพ ก็ต้องมาเจอกับเรื่องฝุ่นละอองขนาดเล็กพีเอ็ม 2.5 ที่เกินมาตรฐานระดับ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เรียกได้ว่าเป็นปัญหาสุขภาพจิตจากความตื่นตระหนก เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องใหม่ที่ ประชาชนกทม.รวมถึงปริมณฑล ไม่เคยพบเจอบ่อยนัก ทั้งยังมีข้อมูลข่าวสารหลั่งไหลมากมายจากสำนักข่าวต่าง ๆ รวมถึงโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดการสับสนขึ้น  

นพ.ยงยุทธ กล่าวต่อว่า อันที่จริงฝุ่นละอองระดับที่เป็นปัญหาสุขภาพกับทุกคนต้องเกิน 150 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร แต่ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นนั้น การเข้าใจและระวังที่พอดี จะดีกว่าความตระหนกตกใจ จนไม่กล้าออกนอกบ้านหรือแห่ซื้อหน้ากากป้องกัน หน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องต้องให้ข้อมูลที่ชัดเจนถูกต้องรวมถึงสื่อสารให้ประชาชนรู้ว่าหากเกิดวิกฤตจริง ๆ ควรมีมาตรการรองรับ เช่น ปิด โรงเรียน ปิดงานบางส่วนในระยะสั้นๆ เพื่อลดฝุ่นละออกจากรถยนต์ ประชาชนจะได้ไม่เกิดความว้าวุ่นใจ

ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวต่อว่า อันที่จริงความเครียดคนเราเป็นความเครียดสะสมจากเรื่องต่าง ๆ จนกระทั่งรุนแรงเป็นอาการปวดหัว เบื่ออาหาร นอนไม่หลับและพฤติกรรมโดยเฉพาะการกระทบกระทั่งกันบนท้องถนน หรือในครอบครัว ดังนั้นคนที่น่าเป็นห่วงในวิกฤตดังกล่าว คือคนที่มีความเครียดสะสมอยู่แล้วและในผู้มีปัญหาสุขภาพ อย่าลืม หลักการดูแลคนใกล้ชิด 3 ส. คือ “สอดส่อง มองหา”  ผู้ที่มีปัญหา “ใส่ใจรับฟัง”  ให้เข้าใจปัญหาและเกิดความไว้วางใจ “ส่งต่อเชื่อมโยง”  ที่จะนำไปสู่การช่วยเหลือและบริการต่าง ๆ ท้ายที่สุดสื่อมวลชนต้องพึงระวังการนำเสนอข่าวที่ไม่ควรสร้างความตระหนกจนเกินไป และประชาชนควรใช้เวลาติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างเหมาะสม สังคมไทยควรใช้โอกาสนี้ หาหนทางในการแก้ปัญหาในระยะยาวต่อไป



นายสุพัฒน์ หวังวงศ์วัฒนา อาจารย์คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอดีตอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวถึงสถานการณ์ฝุ่นละออง PM 2.5 ในพื้นที่กทม.และปริมณฑล ว่า ฝุ่น PM 2.5 เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกปีในช่วงเวลานี้ ไม่ใช่เพิ่งมาเกิด แต่เกิดขึ้นและมีการติดตามมา 5-6 ปีแล้ว ซึ่งก็ไม่ได้มีความรุนแรงไปกว่าเดิม และระดับความเข้มข้นสูงสุดอาจจะต่ำกว่าเดิมด้วยซ้ำ สาเหตุที่เมื่อก่อนเราไม่ค่อยรู้สึกทั้งที่มีปัญหาเกิดขึ้นอยู่แล้วนั้นเป็นเพราะข้อมูลข่าวสารในอดีตมีน้อย การตรวจวัด PM 2.5 ในอดีตก็มีตำแหน่ง สถานีตรวจวัด และ การสื่อสารข้อมูลไปยังประชาชนที่ยังน้อย แต่ในช่วงนี้ข้อมูลทางด้านโซเชียลมันเร็ว สถานีตรวจวัดของ คพ.และข้อมูลต่างๆก็เพิ่มขึ้น ทำให้มีตัวเลขข้อมูลไปถึงมือประชาชนมากกว่าเดิมและรู้ว่ามันมีปัญหาเยอะ แต่ถามว่าแตกต่างไปจาก 3-4 ปีก่อนหน้านี้หรือไม่ก็ไม่ได้แตกต่าง

นายสุพัฒน์ กล่าวอีกว่า ในเรื่องการแก้ปัญหาปีที่แล้วก็มีปัญหาแบบนี้ การแก้ปัญหาก็เหมือนกับที่กำลังทำอยู่และปีนี้มันก็กลับมาเหมือนเดิม ดังนั้นการแก้ไขปัญหาทั้งในปีที่แล้วหรือที่กำลังทำในปีนี้มันไม่ใช่การแก้ไขปัญหา มันเป็นเพียงการบรรเทาปัญหาความรุนแรงที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า แต่ต้นเหตุของปัญหาก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ปีหน้ามันก็จะกลับมาอีกเพราะต้นเหตุยังไม่ได้รับการแก้ไข เป็นเพียงการบรรเทา การฉีดน้ำ การล้างถนนที่กำลังทำกันอยู่เป็นแก้ไขปัญหาที่ปลายทาง เฉพาะหน้าแล้วก็บรรเทาเท่านั้น เหมือนกับเราเป็นไข้หวัดใหญ่ ปวดหัวตัวร้อนเราก็กินยาแก้ปวดลดไข้แต่ปัญหาก็ยังอยู่ในตัวเรา ทั้งนี้สาเหตุหลักที่ทำให้ค่า PM2.5 เพิ่มสูงขึ้นใน กทม. 

ซึ่งนักวิชาการหลายท่านเห็นตรงกัน คือ 1.รถยนต์ การจราจรที่ติดขัดและปล่อยมลพิษออกมา PM 2.5 ส่วนใหญ่ออกมาจากรถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล โดยเฉพาะรถบรรทุกขนาดใหญ่ จากการศึกษาที่ผ่านมาพบว่าเป็นตัวหลักเลยรวมถึงรถโดยสารประจำทางด้วย ยิ่งการจราจรติดขัดมากๆ ก็จะส่งผลให้การระบายมลพิษจากรถยนต์เหล่านี้พุ่งออกมาเยอะ 2.จากการเผา ในกทม.ก็มีการเผา และรอบนอกในเขตปริมณฑลยิ่งมีการเผาทั้งในภาคการเกษตรและเผาขยะ ทำให้มีการกระจายตัวของมลพิษเข้ามาในเขตกทม.ได้ ส่วนการก่อสร้างรถไฟฟ้าและอาคารคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ก็ส่งผลต่อการหมุนเวียนของอากาศ แต่เดิม กทม. มีตึกสูงไม่มาก  ค่อนข้างที่จะราบการกระจายอากาศจากศูนย์กลางออกไปภายนอกก็จะดี ตอนนี้ตึกสูงเรียงแถวเป็นกำแพง ปิดกั้นทำให้อากาศไหลออกไปไม่ได้ การกระจายตัวของอากาศก็ลำบาก

นายสุพัฒน์ กล่าวอีกว่า  สำหรับวิธีการแก้ไขปัญหานั้น เห็นว่าอันแรกต้องลดจากตัวรถยนต์ ถ้าจะไปแก้ไขปัญหาและให้เกิดความยั่งยืนว่าปีหน้ามันจะบรรเทาลง ก็ต้องไปเอาที่ตัวรถยนต์ก่อนว่ารถแต่ละคันต้องสะอาด มีมลพิษออกมาน้อย ต้องมีมาตรฐานที่ดีและสูงขึ้น ถ้ายังมีจำนวนรถเพิ่มขึ้น มาตรฐานรถยนต์ต้องดีขึ้นด้วย ต้องไปอยู่ระดับยูโร 5-6 น้ำมันก็ต้องมีกำมะถันลดลงมาเหลือไม่เกิน 10 พีทีเอ็ม และต้องทำให้การจราจรคล่องตัวด้วย  ทั้งนี้มีข้อเสนอจากนักวิชาการให้กำหนดการใช้รถเป็นวันเลขคู่เลขคี่ เพื่อลดจำนวนการใช้รถให้น้อยลง และการจราจรเบาบางขึ้น แต่ต้องถามว่ารัฐบาลกล้าทำหรือไม่เพราะจะกระทบต่อกิจกรรมการเดินทางต่างๆของประชาชนด้วย ซึ่งต้องมีการเตรียมความพร้อมก่อนที่จะถึงเหตุการณ์นี้ 

“อีกทางหนึ่งที่อยากจะเสนอคืองานหลายประเภททั้งราชการและเอกชนสามารถทำที่บ้าน หรือไม่ต้องเดินทางมาที่ทำงานก็ได้แต่ต้องส่งงาน ในช่วงนี้ให้ทำงานที่บ้านได้หรือไม่ เพื่อลดการเดินทางของรถที่เข้าสู่กทม. และจะถือว่าเป็นไทยแลนด์ 4.0 ได้ด้วยโดยการใช้เทคโนโลยีช่วยในการทำงาน  ส่วนการเผาก็มีความสำคัญเช่นกัน จังหวัดปริมณฑลต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบการเผา ทุกวันนี้ยังพบเห็นการเผาหญ้าริมทาง การเผาในที่นาที่เก็บเกี่ยวแล้ว ซึ่งทำให้ฟุ้งกระจายเข้าพื้นที่ กทม. ได้ ขณะที่การทำฝนหลวงนั้นตนคิดว่าเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เพราะต้นเหตุยังไม่ได้รับการแก้ไข ต้นเหตุก็ยังปล่อยมลพิษออกมาเหมือนเดิม” นายสุพัฒน์ กล่าว.