ข่าวชูวางระบบสาธารณูปโภค เหน็บใช้งบน้อยกว่าซื้อเรือดำน้ำ  - kachon.com

ชูวางระบบสาธารณูปโภค เหน็บใช้งบน้อยกว่าซื้อเรือดำน้ำ 
การเมือง

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 16 ม.ค. ที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มีเสวนาหัวข้อ “มุมมองทางการเมืองต่อความเหลื่อมล้ำทางสังคม” โดยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าที่ผ่านมามีการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำเป็นเพียงมาตรการเฉพาะหน้า จึงต้องปรับโครงสร้างพื้นฐานทุกด้าน โดยพรรคปชป.เสนอ 7 มาตรการลดความเหลื่อมล้ำ เช่น ไม่สามารถบริหารเศรษฐกิจบนกรอบความคิดเดิมๆอย่าง GDP ได้ ซึ่งทุกนโยบาย ต้องมีการประเมินว่ามีผลกระทบต่อการกระจายรายได้อย่างไรบ้าง การจัดสรรทรัพยากรหลายๆ อย่างต้องคำนึงถึงความเหลื่อมล้ำ ซึ่งรัฐบาลพรรคปชป.ยืนยันว่าก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยเป็นของประชาชน ไม่มีความจำเป็นต้อง นำก๊าซประเภทนี้มาคิดค่าใช้จ่ายในราคาตลาด จัดการปัญหาการผูกขาดทั้งภาคเอกชนและภาครัฐ มีการใช้บังคับกฎหมายเกี่ยวกับการแข่งขันทางการค้า ส่วนการผูกขาดโดยภาครัฐอย่างการผูกขาดโดยรัฐวิสาหกิจ ก็ต้องมีมุมมองเพื่อผลประโยชน์ต่อส่วนรวม จัดทำแนวนโยบายสวัสดิการที่แท้จริง เช่น การประกันรายได้สินค้าเกษตร จนไปถึงการประกันรายได้ภาคแรงงาน การบริการด้านพื้นฐานที่สำคัญเน้นการศึกษาและสาธารณสุขต้องมีความพร้อมมากขึ้น ทั้งการเรียนฟรี การกระจายโอกาส และสถานศึกษา รวมถึงสถานรักษาพยาบาล การปรับระบบโครงสร้างภาษีให้คนที่มีกำลังจ่าย จ่ายภาษีมากขึ้น และการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และการเมืองต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน หรือผลประโยชน์ทางธุรกิจในกลุ่มคนเล็กๆ

นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ หัวหน้าพรรคเพื่อชาติ กล่าวว่า ความเจริญต้องไม่กระจุกตัวแต่ในเมือง สิ่งแรกเริ่มจากการปฏิรูปการศึกษา กระจายคุณภาพและโอกาสทางการศึกษาไปทั่วทุกภูมิภาค รวมถึงการดูแลด้านสาธารณสุขที่ต้องมีความพร้อมทั่วประเทศ ด้วยการใช้บุคลากรในพื้นที่และงบประมาณซึ่งคาดว่าใช้จำนวนไม่มากเหมือนกับการซื้อเรือดำน้ำ

ด้านนาย เอนก เหล่าธรรมทัศน์ แกนนำพรรครวมพลังประชาชาติไทย กล่าว่าสิ่งสำคัญต้องทำการศึกษาไทยให้เท่าเทียมและทั่วถึง เพราะจะขยับฐานประชาชนส่วนใหญ่ของไทยเป็นชนชั้นกลางมากขึ้น ซึ่งจะแก้ได้จริงจะต้องเริ่ม ด้วยการหานายกรัฐมนตรีที่เหมาะสมที่สุด ขณะนี้ควรยอมรับประชาชนรู้สึกว่าเศรษฐกิจไม่ดีโดยภาพรวมต้องพัฒนาภาคการเกษตรเป็นหลัก ด้วยการทำการเกษตรแบบมีแผนการ มีโซนนิ่ง ไม่ใช่การทำโดยไม่มีแบบแผน ควบคู่ไปกับการพัฒนาการท่องเที่ยวชุมชน เชื่อมโยงความรู้จากการพัฒนาการศึกษาเข้ามาเกิดแรงขับเคลื่อนได้จากทุกท้องถิ่น

นายวราวุธ ศิลปอาชา แกนนำพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่าพรรคเน้นการดูแลเรื่องรายได้ของเกษตรกร ด้วยการพัฒนากระบวนการการค้าระหว่างเกษตรกรกับผู้บริโภค ใช้เทคโนโลยีและองค์ความรู้เข้ามาเป็นตัวช่วย ทั้งการเพิ่มผลผลิต การติดต่อซื้อขายเพื่อลดต้นทุนและสร้างกำไรมากขึ้น รวมถึงต้องปฏิรูปการศึกษาอย่างจริงจังด้วยการแก้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และต้องให้นักเรียนนักศึกษามีส่วนร่วมวางแผนการปฏิรูปการศึกษา ซึ่งเป็นรากฐานของการแก้ไขปัญหาทุกด้าน

ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่าสังคมไทยอยู่บนหลายเงื่อนไขมีความผิดปกติเพราะคนทำงานหลายคนทำงานจำนวนชั่วโมงต่อวันเยอะมาก แต่กลับได้ค่าตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม หรือกรณีประชาชนที่อยู่ใกล้โรงไฟฟ้าแม่เมาะซึ่งได้รับผลกระทบจากโรงไฟฟ้า แต่ก็ยังต้องใช้ไฟฟ้าในอัตราเดียวกันกับคนกรุงเทพฯ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ติดเพราะปัญหาโครงสร้างของสังคมที่ไม่ยุติธรรมทำให้ประเทศเดินหน้าไม่ได้ ด้วยการขับเคลื่อนของกลุ่มทุนที่ผูกขาดมายาวนาน ตลอดจนอำนาจของนายทหารระดับสูง ตอนนี้จึงถึงเวลาต้องแก้ไข โครงสร้างสังคมใหม่ ซึ่งพรรคอนาคตใหม่จะดึงอำนาจและผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจลง

นายนพดล ปัทมะ แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าความรับผิดชอบของรัฐบาลที่ต้องดูแลประชาชนโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อยและผู้ด้อยโอกาส ด้วยการสร้างรายได้ สร้างโอกาส สร้างอนาคต ด้วยแนวคิดเพิ่มรายได้เกษตรกรอย่างราคาข้าวไม่ควรมีรายได้ต่ำกว่าเดือนละ 10,000 บาท การสนับสนุนปลูกพืชที่มีมูลค่าสูงและป่าไม้มีค่า การใช้เทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาการเกษตรเพื่อลดต้นทุน การเปิดให้ใช้ประโยชน์ที่ดิน สปก. มากขึ้นตลอดจนการใช้ค้ำประกันในธนาคารได้ การเพิ่มพื้นที่ชลประทานให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มผลิตผลและพื้นที่การเกษตร รวมถึงการช่วยเหลือผู้ใช้แรงงานด้วยการประกันรายได้ขั้นต่ำ 350 บาทต่อวัน การสนับสนุนการท่องเที่ยวในชุมชน

"การกระจายความเจริญด้วยการสร้างรถไฟความเร็วสูง ตลอดจนการกระจายโอกาสทางการศึกษาและเพิ่มคุณภาพโรงเรียนทั่วภูมิภาค ความจนต้องไม่เป็นอุปสรรคต่อการเรียน ด้วยการสนับสนุนการศึกษาตั้งแต่ปฐมวัยตลอดจนการเรียนการสอนที่ทำให้เด็กคิดเป็น ลดการเรียนในห้องเรียนน้อยลง และสามารถสื่อสารได้ 3 ภาษา รวมถึงการปรับโครงสร้างหนี้ กยศ. เพื่อเพิ่มโอกาสให้กับนักศึกษา"นายนพดล กล่าว.