ตั้งเป้าส่งแรงงานอีอีซีเข้าสถานประกอบการ1.4หมื่นคน
การเมือง
โดยศูนย์บริหารจัดการแรงงานเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก จะเป็นศูนย์ที่สามารถอำนวยความสะดวกด้านแรงงานให้แก่นายจ้าง นักลงทุน ผู้ประกอบการ และแรงงาน ได้อย่างรวดเร็วและเบ็ดเสร็จ พร้อมทั้งตอบสนองความต้องการของทุกภาคส่วนด้านแรงงานได้อย่างแท้จริง เพื่อตอบรับความต้องการด้านแรงงานของสถานประกอบการที่มีอยู่ในพื้นที่อีอีซี กว่า 37,000 แห่ง ซึ่งในจำนวนสถานประกอบการดังกล่าวมีแรงงานอยู่กว่า 1.5 ล้านคน
ด้านพล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า สำหรับศูนย์ฯ ดังกล่าว กระทรวงแรงงานถือเป็นหน่วยงานหลัก ร่วมกับหน่วยงานทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา จัดทำฐานข้อมูลเพื่อทำแผนปฏิบัติการ เพื่อให้บริการด้านแรงงานที่ครอบคลุม ทั้งการจัดหาแรงงาน การพัฒนาฝีมือแรงงาน สวัสดิการแรงงานและความปลอดภัยในการทำงาน และประกันสังคม อำนวยความสะดวกให้แก่นายจ้างและนักลงทุนในพื้นที่เพื่อตรวจลงตราวีซ่า และขอใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) ซึ่งจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบกิจการที่จะเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซี
"โดยกำหนดมาตรการขับเคลื่อนเป็น 3 ระยะ ได้แก่ 1.ระยะเร่งด่วน จัดหาแรงงานที่ขาดแคลนในพื้นที่อีอีซี จำนวน 14,767 อัตรา ให้กับสถานประกอบกิจการกว่า 1,000 แห่ง 2. ระยะกลาง 1-5 ปี สำรวจความต้องการแรงงาน ซึ่งมีความต้องการจำนวน 1.77 แสนคน พร้อมส่งเสริมให้สถานประกอบการพัฒนาทักษะบุคลากรของตนเองกว่า 580,000 คน และ 3. ระยะยาว 5-10 ปี จัดให้มีระบบฐานข้อมูลที่เชื่อมโยงการจัดหางานกับตัวบุคคล ปรับเปลี่ยนกระบวนการพัฒนาคนของประเทศทั้งระบบ ทั้งนี้การดำเนินงานทางกระทรวงยังได้แต่งตั้งให้ นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล ผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้อำนวยการศูนย์ พร้อมขับเคลื่อนเดินหน้า " พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าว.
เมื่อถามถึง ความคาดหวังในการดำเนินงานในพื้นที่อีอีซี ปี 2562 ตั้งเป้าหมายไว้ในทิศทางใด พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ส่วนตัวคิดว่าคงมีคนมาลงทุนมากขึ้น อีกทั้งเชื่อว่าศักยภาพของพื้นที่อีอีซี ทั้ง 3 จังหวัด คือ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา น่าจะรองรับการขยายตัวได้
เมื่อถามว่า หากประเทศไทยมีการเลือกตั้งแล้วเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ จะส่งผลกระทบต่อการบริหารงานในพื้นที่อีอีซี หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มีปัญหา ตนเชื่อว่าโครงการอีอีซี สามารถเดินหน้าต่อไปได้ เพราะเป็นหน้าที่ของกระทรวงแรงงานที่ต้องเป็นหน่วยงานหนักในการดำเนินการ ซึ่งรัฐบาลไหนเจ้ามาก็สามารถเดินต่อได้ ใครเข้ามาก็เหมือนกันหมดต้องทำต่อ
เมื่อถามถึง แนวโน้มทิศทางของประเทศไทยกับประเทศจีนจะมีทิศทางเปลี่ยนไปหรือไม่ในอนาคต หากมีการเลือกตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหาร เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันดูให้ความสำคัญกับจีน และจีนเองก็มาลงทุนในอีอีซี จำนวนมากด้วย พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราไม่รู้อนาคตเป็นอย่างไร ต้องรอ ซึ่งการทำงานของเราเป็นการทำงานแบบบูรณาการทั้ง 10 อุตสาหกรรมในพื้นที่อีอีซี ซึ่งถือเป็นความเจริญของประเทศ จึงคิดว่าน่าจะดำเนินการไปต่อได้.