ข่าวครม.อนุมัติงบบัตรทอง1.91แสนล้าน ผู้ป่วยได้เพิ่ม3.6พันบาท/หัว - kachon.com

ครม.อนุมัติงบบัตรทอง1.91แสนล้าน ผู้ป่วยได้เพิ่ม3.6พันบาท/หัว
การเมือง

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 12 ก.พ.ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.ท.วีรชน สุคนธปฏิภาค รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2563 วงเงิน 1.91 แสนล้านบาท เพิ่มจากปี 2562 จำนวน 6,500 ล้านบาท จากที่ขอมา 2.01 แสนล้านบาท โดยเป็นงบสำหรับบริการเหมาจ่ายรายหัว 1.73 แสนล้านบาท ครอบคลุมค่าใช้จ่ายหน่วยบริการในส่วนเงินเดือน ค่าตอบแทนบุคลากรและค่าบริการสาธารณสุขในระดับท้องถิ่นหรือพื้นที่ สำหรับประชาชนผู้มีสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) 48.26 ล้านคน คิดเป็นอัตราเหมาจ่ายรายหัว 3,600 บาท/หัว เพิ่มขึ้นจากปี 2562 จำนวน 173 บาท/หัว ทั้งนี้ย้ำว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพประชาชน เชื่อว่าวงเงินที่อนุมัตินี้จะทำให้ประชาชนเข้าถึงการบริการสาธารณสุขได้อย่างถ้วนหน้า ไม่ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ

นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี รองเลขาธิการคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า สำหรับงบฯ ปี 2563  1.91 แสนล้านบาทนั้นจะเป็นเงินที่เข้ากองทุนเหมาจ่ายรายหัว 1.73 แสนล้านบาท ที่เหลือเป็นเงินนอกกองทุนเหมาจ่ายฯ รวมถึงงบบริหาร เช่น งบบริการสาธารณสุขผู้ติดเชื้อเอชไอวี และผู้ป่วยเอดส์ งบบริการสาธารณสุขผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง งบบริการบริการควบคุมป้องกันความรุนแรงโรงเรื้อรัง งบค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมสำหรับหน่วยบริการในพื้นที่กันดาร พื้นที่เสี่ยงภัย และพื้นที่ชายแดนภาคใต้ งบค่าบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงในชุมชน และ งบค่าบริการสาธารณสุขเพิ่มเติมบริการระดับปฐมภูมิที่มีแพทย์ประจำครอบครัว

นพ.จเด็จ กล่าวว่า ทั้งนี้ในส่วนของงบเหมาจ่ายฯ นั้นจะพัฒนาเพิ่มสิทธิ์ทั้งการส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรค อาทิ เพิ่มการตรวจคัดกรองยีน HLA-B*1520 ก่อนเริ่มยา Carbamazepine เพื่อป้องกันการแพ้ยาชนิดรุนแรง, ปรับการคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ในประชากร อายุ 50-70, เพิ่ม 12 รายการผ่าตัดแบบวันเดียวกลับ เพิ่มการผ่าตัดผ่านกล้องและอุปกรณ์ทันสมัยเพื่อให้กลับบ้านได้เร็วขึ้น, เพิ่มยารักษาโรคอัลไซเมอร์ มะเร็งไทรอยด์ โรคที่เกิดจากการทำลายเส้นประสาท และเพิ่มสูตรยาต้านไวรัสเอดส์ที่ดื้อยา, เพิ่มเครื่องตรวจติดตามค่าน้ำตาลในเลือดผู้ป่วยเบาหวานเด็ก, เพิ่มวัคซีนป้องกันโรคท้องร่วงในเด็ก และขยายสิทธิการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในกลุ่มผู้บริจาคที่ไม่ใช่ญาติ ปรับระบบหมอครอบครัวดูแลผู้ป่วยติดบ้านติดเตียงครอบคลุม ข้าราชการ และประกันสังคมด้วยซึ่งตรวจสอบแล้วไม่มีการซ้ำซ้อน และการเพิ่มโอกาสเข้าถึงบริการแพทย์แผนไทย ทั้งยาสมุนไพร และหัตถารการรักษาด้วยการแพทย์แผนไทย

“เดิมเราเสนอของบฯ ไปมากกว่านั้น แต่จากการพิจารณาโดยคาดการการเข้ารับการรักษาในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 3.73 ครั้ง/คน/ปี ขณะที่จำนวนผู้มีสิทธิปัจจุบัน 48.26 ล้านคน ซึ่งลดลงจาก ประมาณ 48.5 ล้านคน เพราะส่วนหนึ่งเข้าสู่ระบบแรงงาน จึงได้รับงบมาที่ 1.91 แสนล้านบาท เป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบันผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่ามีอัตราการเข้ารักษามากกว่าคนปกติ โดยผู้สูงอายุเข้ารพ.ประมาณ 7 ครั้ง/คน/ปี ในขณะที่ค่ารักษาก็จะสูงด้วย แต่อย่างที่บอกว่าวงเงินที่อนุมัตินั้นผ่านการพิจารณาแล้ว แต่ก็คาดว่าอนาคตเราจะไม่ต้องของบกลางอีก เพราะเมื่อปี 2562 ก็ไม่ได้ขอเพิ่ม มีเพียงปีงบ 2561 เท่านั้นที่มีการของบกลางเพิ่มถึง 5,000 ล้านบาท”นพ.จเด็จ กล่าว.