'สมคิด'ชี้นักลงทุนต่างชาติฉลาดเข้าใจการเมืองไทยดี
การเมือง

เมื่อวันที่ 14 ก.พ. ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวลือจะมีปฏิวัติ และปรากฏการณ์วันที่ 8 ก.พ.ส่งผลให้ยุบพรรค ว่า ยืนยันว่าจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.ตนได้ชี้แจงกับนักลงทุนต่างชาติแล้วเข้าใจสถานการณ์ต่างๆของการเมืองไทยดี และเขาฉลาด ส่วนกรณีเรื่องการยุบพรรคการเมือง เป็นไปตามกฎหมาย ไม่ส่งผลกระทบความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล
นายสมคิด ได้แถลงภายหลังการประชุมงบประมาณรายจ่ายบูรณาการประจำปี 2563 แผนงานบูรณาการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก วงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาท ว่า แผนงานงบประมาณ ปี 2563 ที่เป็นงบบูรณาการ 7 กระทรวงวงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาท ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ไปปรับปรุงงบประมาณที่ได้รับประมาณ 5 พันล้านบาท ให้สอดคล้องกับนโยบายเนื่องจากเมื่อพิจารณาแล้วเป็นงบฟังก์ชั่นหรืองบตามการบริหารปกติ
ทั้งนี้ให้เวลากระทรวงเกษตรฯ 2 วันไปปรับงบประมาณว่ากระทรวงเกษตรฯจะพิจารณาหนุนหรือส่งเสริมอะไร สินค้าอะไรที่จะยกเป็นตัวที่ชูการพัฒนาเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มเข้ามา เหมือนกับญี่ปุ่นที่จะคิดตลอดสายการผลิต โดยใช้สหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชน หรือบริษัทจำกัด ที่จะเข้ามาต่อยอดและหาภาคเอกชนเข้ามาช่วยส่งเสริมการผลิตในการเข้ามารับซื้อผลผลิต ซึ่งต่อไปกระทวงเกษตรฯต้องคิดในเชิงนี้ และหากต้องใช้ระบบสหกรณ์มาก งบ 150 ล้านไม่พอที่จะเรื่องใหญ่ก็ให้ไปพิจารณาใหม่
รองนายกฯ กล่าวย้ำว่าการทำงานของ 7 กระทรวงฯต่อไปต้องทำแบบมีเป้าหมาย โดย ต้องไปดูว่าตลาดต้องการอะไร เพราะปัจจุบันปลูกกันแบบไม่มีข้อมูล ให้ไปดูว่าสินค้าหลัก 2-3 ตัวที่ต้องดูมีอะไรบ้าง แล้วไปจับมือกับเอกชนและเกษตรกร เหมือนญี่ปุ่นที่สหกรณ์เข้าเข้มแข็ง กระทรวงเกษตรฯต้องชี้เป้าได้ว่าจะทำอะไร ผลิตเท่าไหร่จะไม่ล้นตลาด และดึงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์เข้ามาด้วยเพื่อสร้างรายได้เพิ่มการแปรรูปผลผลิตไปร่วมมือกับกระทรวงวิทย์ และที่สำคัญต้องไม่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชเชิงเดียว เบื้องต้นในการหารือสำนักงบประมาณเข้าใจและ 7 หน่วยงานที่อยู่ในกลุ่มนี้เข้าใจแล้ว และควรจับมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆอย่าสะเปะสะปะ เช่นยางพาราก็ต้องจับมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เรื่องเวชศาสตร์ยาก็ต้องไปดูมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง.
นายสมคิด ได้แถลงภายหลังการประชุมงบประมาณรายจ่ายบูรณาการประจำปี 2563 แผนงานบูรณาการพัฒนาและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก วงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาท ว่า แผนงานงบประมาณ ปี 2563 ที่เป็นงบบูรณาการ 7 กระทรวงวงเงิน 1.3 หมื่นล้านบาท ในส่วนของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ให้ไปปรับปรุงงบประมาณที่ได้รับประมาณ 5 พันล้านบาท ให้สอดคล้องกับนโยบายเนื่องจากเมื่อพิจารณาแล้วเป็นงบฟังก์ชั่นหรืองบตามการบริหารปกติ
ทั้งนี้ให้เวลากระทรวงเกษตรฯ 2 วันไปปรับงบประมาณว่ากระทรวงเกษตรฯจะพิจารณาหนุนหรือส่งเสริมอะไร สินค้าอะไรที่จะยกเป็นตัวที่ชูการพัฒนาเกษตรกรให้มีรายได้เพิ่มเข้ามา เหมือนกับญี่ปุ่นที่จะคิดตลอดสายการผลิต โดยใช้สหกรณ์ หรือวิสาหกิจชุมชน หรือบริษัทจำกัด ที่จะเข้ามาต่อยอดและหาภาคเอกชนเข้ามาช่วยส่งเสริมการผลิตในการเข้ามารับซื้อผลผลิต ซึ่งต่อไปกระทวงเกษตรฯต้องคิดในเชิงนี้ และหากต้องใช้ระบบสหกรณ์มาก งบ 150 ล้านไม่พอที่จะเรื่องใหญ่ก็ให้ไปพิจารณาใหม่
รองนายกฯ กล่าวย้ำว่าการทำงานของ 7 กระทรวงฯต่อไปต้องทำแบบมีเป้าหมาย โดย ต้องไปดูว่าตลาดต้องการอะไร เพราะปัจจุบันปลูกกันแบบไม่มีข้อมูล ให้ไปดูว่าสินค้าหลัก 2-3 ตัวที่ต้องดูมีอะไรบ้าง แล้วไปจับมือกับเอกชนและเกษตรกร เหมือนญี่ปุ่นที่สหกรณ์เข้าเข้มแข็ง กระทรวงเกษตรฯต้องชี้เป้าได้ว่าจะทำอะไร ผลิตเท่าไหร่จะไม่ล้นตลาด และดึงการท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์เข้ามาด้วยเพื่อสร้างรายได้เพิ่มการแปรรูปผลผลิตไปร่วมมือกับกระทรวงวิทย์ และที่สำคัญต้องไม่ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชเชิงเดียว เบื้องต้นในการหารือสำนักงบประมาณเข้าใจและ 7 หน่วยงานที่อยู่ในกลุ่มนี้เข้าใจแล้ว และควรจับมือทางวิชาการกับมหาวิทยาลัยที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนั้นๆอย่าสะเปะสะปะ เช่นยางพาราก็ต้องจับมือกับมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เรื่องเวชศาสตร์ยาก็ต้องไปดูมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง.