'หญิงหน่อย'บุกสยามเดินหาเสียง ชูตั้งกองทุนสร้างเถ้าแก่ใหม่
การเมือง
โดยคุณหญิงสุดารัตน์ ระบุว่า ที่พาครอบครัวมาลงพื้นที่ในวันนี้เนื่องจากตั้งแต่วันที่ 18 ก.พ. ตนต้องลงพื้นที่หาเสียงที่ต่างจังหวัดหลายวัน จึงไม่มีเวลาให้กับครอบครัวและวันนี้ น้องจินนี่และน้องเบสท์มาเรียนพิเศษที่สยามสแควร์ทำให้เลือกลงพื้นที่ที่สยามสแควร์ รวมทั้งต้องการมาพบปะกับคนรุ่นใหม่
จากนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ลงพื้นที่พบปะประชาชน เปรียบเป็นการช่วยพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) หาเสียง ว่า ก็แนบแน่นเป็นเนื้อเดียวกันอยู่แล้ว ทั้งนี้ อย่างที่หลายคนบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นกติกาที่ร่างกันมา การทำโรดแม็พที่บอกว่า 4 ปี จะนำไปสู่การเลือกตั้งวันนี้ก็เห็นชัดแล้ว เป็นโรดแม็พที่จะทำให้ผู้มีอำนาจกลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้ง ดังนั้น ไม่ว่าจะกติการที่เอารัดเอาเปรียบ หรือการเอารัดเอาเปรียบระหว่างนี้โดยการลงพื้นที่หาเสียง หรือการใช้งบประมาณ และอำนาจรัฐ เอื้ออำนวย และสอดคล้องกัน นักข่าวควรไปถามพล.อ.ประยุทธ์ มากกว่า
เมื่อถามถึงกรณีที่มีข้าราชการขึ้นเวทีปราศรัยกับพรรคพปชร. คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่รัฐต้องวางตัวเป็นกลาง ดังนั้น การใช้เจ้าหน้าที่รัฐ อำนาจรัฐ และงบประมาณของรัฐถือเป็น 2 ส่วน คือ เราเป็นคู่แข่งขันทางการเมืองที่รู้อยู่แล้วว่าเราถูกเอารัดเอาเปรียบ แต่เราก็ก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดอย่างไม่เป็นธรรม และการเอาเปรียบนี้ผิดกฎหทายด้วย ดังนั้น เราไม่ใช้เจ้าหน้าที่รัฐอยู่แล้ว เราไม่ยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นเรื่องการเมือง และขอฝากถามนายกฯ ในฐานะที่เป็นหัวหน้าคสช. และเป็นแคนดิเเดตนายกฯพรรคการเมืองหนึ่งว่า การกระทำโดยการใช้อำนาจหัวหน้าคสช.ก็ดี นายกฯก็ดี ส่อไปในทางเอื้อประโยชน์ หรือทำให้เกิดผลดีต่อบางพรรคการเมืองถูกต้องตามกฎหมาย และสมควรหรือไม่ นอกจากนี้ ขอถาม กกต. ว่าจะปล่อยให้มีเหตุการณ์อย่างนี้จนถึงวันลงคะแนนเลือกตั้งเลยหรือไม่
เมื่อถามว่า 27 ปีที่ทำการเมืองมาเคยเจอแบบนี้หรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ไม่เคยเจอ ครั้งนี้ถือเป็นปรากฎการณ์ครั้งแรกในหลายๆอย่าง 1.ปกติรัฐบาลที่อยู่ในการเลือกตั้งจะต้องเป็นรัฐบาลรักษาการที่ไม่มีอำนาจใดๆ ไม่มีการใช้งบประมาณ หรือการโยกย้ายข้าราชการ แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นายกฯ และครม. มีอำนาจเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ ยังจัดงบ เพิ่มงบ สั่งการต่างๆได้ แถมยังมี มาตรา 44 อีก 2.จากการลงพื้นที่ได้มีการสะท้อนจากส.ส.ในพื้นที่ตลอดเวลาว่า เขาถูกข่มขู่จากอำนาจรัฐ ทั้งเรื่องเก็บบัตรประชาชนจากเจ้าหน้าที่รัฐ บางเขตมีการเก็บบัตรทหารเกณฑ์ เราฟังมาตลอด ก็ไม่ต้องคิดอะไรมาก ชื่อพรรค กับโครงการต่างๆของรัฐบาลในการแจกเงินแจกททองของรับบาลก็ชื่อเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมาไม่มีใครกล้าทำแบบนี้
คุณหญิงสุดารัตน์ ได้กล่าวถึงนโยบายการสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่และผู้ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ว่า พรรคเพื่อไทย มีแนวคิดการวร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ โดยจะมี 3 มาตรการ คือ 1. การตั้งกองทุนสร้างเจ้าของธุรกิจรุ่นใหม่ หรือสร้างเถ้าแก่ใหม่ และปรับการเกณฑ์ทหาร ให้ชายไทย และผู้สนใจ มาเข้าค่ายการทำธุรกิจ สร้างตัวเองให้เป็นเจ้าของกิจการ โดยใช้งบของปลกระทรวงกลาโหม 10 เปอร์เซ็นต์ หรือประมาณ 2 หมื่นล้านบาทต่อปี ซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างนักธุรกิจได้ประมาณ 2-3 หมื่นคนต่อปี และรัฐจะสนับสนุนกองทุนกู้ยืมให้ ทั้งนี้หากผลิตภัณฑ์ประสบผลสำเร็จ รัฐอาจจะร่วมลงทุนด้วย และเชิญชวนแหล่งลงทุนจากทั่วโลกมาร่วมลงทุน 2. การเตรียมพร้อมรับคนตกงาน ทั้งสายสื่อมวลชน สายการธนาคาร และพนักงานห้างสรรพสินค้า ด้วยการตั้งกองทุนเปลี่ยนงาน รวมถึงให้การอบรม ให้ความรู้ ให้ทักษะ และสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ ให้ประกอบเป็นอาชีพที่ 2 สำรองระหว่างทำงานได้ และ 3.บัตรทองของสตาร์ทอัพ สำหรับเด็กรุ่นใหม่ หรือนักธุรกิจใหม่ คนค้าขายออนไลน์ เพื่อจะสามารถสู้กับผู้ประกอบการรายใหญ่ได้ และจะให้สิทธิพิเศษนอกอีอีซี ทั้งด้านภาษี การนำเข้าวัตถุดิบ มาผลิตสินค้าได้ด้วย
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า ตนมั่นใจว่า 3 มาตรการดังกล่าวจะเป็นนโยบายที่มีประโยชน์สำหรับคนรุ่นใหม่ เพราะพรรคไม่เชื่อว่าการมีธุรกิจรายใหญ่ ผูดขาดเพียงไม่กี่ราย จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศไปได้ ทั้งนี้เชื่อว่าการสร้างคนตัวเล็กให้แข็งแรง ลุกขึ้นมาค้าขายได้ จะเป็นการสร้างศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สามารถแก้ปัญหารวยกระจุก จนกระจาย ซึ่งพรรคเราจะต่อยอดนโยบายของพรรคไทยรักไทย จะทำให้คนตัวเล็ก และเศรษฐกิจของประเทศ สามารถขับเคลื่อนได้ เพราะพรรคพท. เชื่อในศักยภาพของคนรุ่นใหม่
เมื่อถามว่า การตัดงบกลาโหมจะไม่ทำให้เกิดปัญหากับทางกองทัพหรือ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ขอให้ทหารมาเอากลาโหมส่วนนี้มาช่วยสร้างเด็กรุ่นใหม่ เป็นรั้วของชาติ ซึ่งวัยรุ่นส่วนใหญ่อยากมีธุรกิจเป็นของตัวเอง
เมื่อถามถึงกระแสคนรุ่นใหม่จะสู้พรรคอนาคตใหม่ (อนค.) ได้หรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า กระพรรคเราก็ถือว่าดี ทั้งเด็ก คนรุ่นใหม่ พ่อแม่ ผู้ปกครอง ส่วนพรรคอนค.ตนว่าเขาสามารถสื่อสารกับคนรุ่นใหม่ได้ดี แต่ท้ายที่สุดตนมองว่า ศักยภาพของแต่ละพรรคไม่เหมือนกัน ก็แบ่งๆคะแนนกันไป.