ข่าวร้องกกต.ยื่นยุบ'อนค.'เหตุส่ออุปโลกน์ประวัติ''ธนาธร - kachon.com

ร้องกกต.ยื่นยุบ'อนค.'เหตุส่ออุปโลกน์ประวัติ''ธนาธร
การเมือง

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 25 ก.พ. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)  นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย  เข้ายื่นคำร้องต่อประธาน กกต. ขอให้ตรวจสอบกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ และนายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กระทำการต้องห้ามตามมาตรา 73(5) )ประกอบมาตรา 132 และมาตรา 159 พ.ร.ป.ว่าด้ยการเลือกตั้ง ส.ส. 2560 

โดยนายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การที่เว็บไซด์ของพรรคอนาคตใหม่เผยแพร่ประวัติของนายธนาธร หัวหน้าพรรค ระบุว่าเคยเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศ 2 สมัย ทั้งที่ความจริงไม่เคยดำรงตำแหน่งดังกล่าวถือเป็นการอุปโลกน์ข้อมูลดังกล่าวขึ้น โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเป็นแหล่งรวมสมาชิกที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจ อุตสาหกรรมทั้งประเทศนับแสนคน ซึ่งหากใครที่มาเป็นประธานสภาอุตสาหกรรมย่อมมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี และเป็นที่รู้กันในภาคเอกชนว่าจะมีโอกาสได้รับเลือกให้ไปดำรงตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานของรัฐ หรือภาคเอกชนอื่นมากมาย การที่พรรคอนาคตใหม่นำเสนอว่าหัวหน้าพรรคเคยดำรงตำแหน่งประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศถึง 2 สมัยตั้งแต่ปี 2551-2555 จึงเป็นการหลอกลวงประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งให้เข้าใจผิดในข้อมูลข้อเท็จจริง มีโทษตามมาตรา 159 พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. จำคุกตั้งแต่ 1-10 ปีปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึงสองแสนบาท ทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งผู้นั้นมีกำหนด 20 ปี

"การจะอ้างว่าไม่เจตนา ต้องดูองค์ประกอบปัจจัยแวดล้อมหลายด้าน พรรคได้รับการรับรองจากนายทะเบียนพรรคการเมืองตั้งแต่ 3 ต.ค. 2561 และเว็บไซด์ของพรรคก็นำเสนอข้อมูลดังกล่าวตั้งแต่นั้น จนกระทั่งมีผู้ไปค้นพบว่าข้อมูลที่นำเสนอไม่ใช่ข้อเท็จจริง แล้วจึงค่อยมีการแก้ไขเมื่อ 20 ก.พ. 2562 ระยะเวลากว่า 5 เดือน ที่ปรากฎข้อมูลอยู่ในเว็บไซด์ของพรรค จึงเป็นการชี้ชัด ว่ามีเจตนาต้องการที่จะสื่อข้อมูลเหล่านั้นให้กับผู้บริโภค ดังนั้นการจะอ้างว่าไม่มีเจตนาที่จะนำเสนอข้อมูลเหล่านั้นจึงไม่มีน้ำหนักเพียงพอ

นอกจากนี้ยังขอให้ตรวจสอบกรณีนายปิยบุตร เลขาธิการพรรค ที่ไปปราศรัยที่จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 16 ก.พ. และวันที่ 18 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยได้มีการนำข้อความมาโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวในลักษณะว่า หน่วยงานรัฐส่วนกลาง และสื่อมวลชนบางกลุ่มร่วมมือกันในการที่จะทำให้คนอีสานเป็นตัวตลก และไม่มีความรู้ ซึ่งคำพูดในลักษณะนี้เป็นการสื่อความหมาย ดูหมิ่นดูแคลนคนอีสาน หน่วยงานรัฐส่วนกลาง และสื่อมวลชนบางกลุ่มซึ่งไม่เป็นข้อเท็จจริง จึงเข้าข่ายเป็นการใส่ร้ายด้วยความเท็จ เข้าข่ายผิดตามมาตรา 73 (5)หรือไม่" นายศรีสุวรรณ กล่าว 

นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่า ทั้งนี้การกระทำของบุคคลทั้ง 2 ในฐานะหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ยังอาจมีผลให้การเลือกตั้งไม่สุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งตามกฎหมายเลือกตั้งมาตรา 132 กำหนดว่า กรณีปรากฎหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าหัวหน้าและคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองกระทำมีส่วนรู้เห็นหรือปล่อยปละละเลยให้ผู้สมัครของพรรคกระทำการอันอาจทำให้การเลือกตั้งไม่สุจริต เที่ยงธรรมสามารถยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งยุบพรรคการเมืองนั้นได้ จึงขอให้กกต.พิจารณาในประเด็นดังกล่าวด้วย.