ร้องกกต.เปิดชื่อกก.หน่วยลต.-ที่เก็บหีบบัตรหวั่นมีคนแอบเปลี่ยน
การเมือง
นายชาญชัย กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ขอให้กกต.ชี้แจงกระบวนการส่งหีบบัตรเลือกตั้งที่มีการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าทั้งในประเทศและนอกประเทศ ให้สังคมทราบว่ากกต.กำหนดให้มีการขนย้ายหีบบัตรดังกล่าวอย่างไร นำหีบบัตรไปเก็บไว้ที่ไหน อย่างไร มีมาตรการรักษาความปลอดภัยเข้มงวดอย่างไร โดยต้องแจ้งพรรคการเมืองและผู้สมัครส.ส.ทุกเขตทราบในวันที่นำหีบบัตรนั้นเข้าเก็บรักษาด้วย เพื่อให้เกิดความโปร่งใสและตรวจสอบได้ เพราะถ้ามีแต่คนของ กกต.รับทราบ อาจมีการลักลอบแก้ไขบัตรเลือกตั้งหรือหีบบัตรกันภายในโดยที่ไม่มีใครสามารถตรวจสอบได้ ก็จะเกิดข้อครหาว่าคนของ กกต.เข้าไปทุจริตการเลือกตั้งให้กับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ถ้ามีการทุจริต จะสามารถบล็อกโหวตหรือส่งผลกระทบต่อการนับคะแนนให้กับพรรคต่างๆ จนนำไปสู่การไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งได้ จึงขอให้กกต.ออกคำสั่งในเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เกิดประโยชน์และความเป็นธรรมแก่ทุกพรรคและผู้สมัครส.ส.ทุกคน
ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคเตรียมทำหนังสือเพื่อยื่นต่อประธานกกต. เพื่อขอให้เปิดเผยรายชื่อกปน. เพราะตามระเบียบกกต.ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ.2561 ถือว่ากปน.เป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจดำเนินการเกี่ยวกับการเลือกตั้ง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้สมัครรับการเลือกตั้งและพรรคการเมืองทุกพรรค มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่ามีใครบ้างที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นกปน. และมีสิทธิ์คัดค้าน หรือเตรียมตรวจสอบการทำหน้าที่ของ กปน.ได้ เพื่อให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความโปร่งใส ทุจริต เที่ยงธรรม นอกจากนี้ จากการที่มีผู้ขอใช้สิทธิ์เลือกตั้งล่วงหน้าทั้งในและนอกราชอาณาจักร มีจำนวนมากกว่า 2.6 ล้านคน ฉะนั้น กกต.จำเป็นที่จะต้องเปิดเผยกระบวนการการเคลื่อนย้ายหีบบัตรและสถานที่เก็บหีบบัตร อีกทั้ง กปน.ที่จะทำหน้าที่ในการเลือกตั้งล่วงหน้า จะต้องลงลายมือชื่อประทับไว้เพื่อให้เห็นว่าหีบหรือบัตรเลือกตั้งนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไข และไม่มีการเคลื่อนย้ายไปอีกที่ ไม่มีการนำบัตรเลือกตั้งจากที่อื่นมาใส่ในหีบบัตรที่ได้บรรจุบัตรเลือกตั้งล่วงหน้านี้แล้ว สิ่งเหล่านี้เป็นหลักการที่ควรเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย
ทั้งนี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายอิสสระ สมชัย รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และคณะแกนนำพรรคฯ ภาคอีสาน ลงพื้นที่พบปะประชาชนที่จ.ร้อยเอ็ด เพื่อหาเสียงช่วยผู้สมัครส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 7 คนในจ.ร้อยเอ็ด ประกอบด้วย เขต1 นางนภาพร พวงช้อย (ทนายจ่อย) เบอร์ 17 เขต2 นายทินกร อ่อนประทุม เบอร์ 6 เขต3 นายณรงค์ นาทองคำ เบอร์ 10 และเขต4 น.ส.อัญชิสา สีสาร เบอร์ 16 เขต5 นายจิรายุ มณีพันธ์ เบอร์ 5 เขต6 น.ส.จันทรพร ขันโมลี เบอร์ 19 และเขต 7 นายมงคล เทพจรรยา เบอร์ 4 โดยนายอภิสิทธิ์ขึ้นรถแห่รอบเทศบาลเมืองร้อยเอ็ดไปยังศูนย์ประชุมสาเกตฮอลล์ เพื่อปราศรัยกับพี่น้องประชาชนชาวร้อยเอ็ด และรณรงค์เชิญชวนประชาชนออกมาใช้สิทธิ์เลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค.นี้
นายอภิสิทธิ์ ขึ้นเวทีปราศรัยตอนหนึ่งว่า ขณะนี้จะมีการแข่งขันนโยบายของทุกพรรคการเมือง ดังนั้น ประชาชนต้องแยกแยะให้ดีว่าพรรคไหนเป็นของจริง พรรคไหนเป็นของลอกเลียน หลายนโยบาย ประชาธิปัตย์เป็นผู้เริ่มต้นและเปิดตัวมาก่อน แต่มีหลายพรรคออกมาพูดทีหลังเหมือนประชาธิปัตย์ พร้อมทั้งเกทับอีกด้วย ตนจึงอยากจะบอกว่านโยบายจะทำได้จริงหรือไม่ ต้องดูที่มาของนโยบายนั้นให้ดี นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งหมดไม่ใช่พอจะมีเลือกตั้งค่อยมานั่งคิดสนุกๆ เพื่อหวังคะแนนเสียงเท่านั้น แต่นโยบายของประชาธิปัตย์มาจากการลงพื้นที่พบปะประชาชนและการทำงานมาตลอด 5 ปี แม้ไม่มีสภา ตนกำชับลูกพรรคทุกคนไม่ให้หยุดทำงาน ต้องลงพื้นที่พบปะประชาชนให้มากที่สุด
“ถามว่าประชาธิปัตย์อยากให้เม็ดเงินมากกว่านี้หรือไม่ ตอบได้เลยว่าอยากให้ แต่ต้องไม่ลืมว่าทุกบาททุกสตางค์ที่นำมาให้ คือ เงินภาษีของพี่น้องประชาชน และถ้าหากมีการแจก แบบลดแลกแจกแถม โดยไม่คำนึงถึงว่าเงินของรัฐบาลมีเพียงพอหรือไม่ สุดท้ายก็จะทำให้โครงการนั้นล้มไป หรือไม่รัฐบาลก็จะเกิดหนี้สินล้นพ้นตัวและเป็นภาระกับพี่น้องประชาชนอีก ขอยืนยันว่าทุกนโยบายของเราคำนวณตัวเลขทั้งหมด ชัดเจนว่าต้องใช้เม็ดเงินเท่าไหร่ ทุกนโยบายผ่านการศึกษาแล้วว่าเงินที่จะนำมาใช้จ่าย นำมาจากไหน หรือเงินที่จะหารายได้ให้ประเทศ หารายได้เข้ารัฐจะมาจากที่ใด” หัวหน้าพรรค กล่าว