ภท.จี้รัฐหนุนวิจัยกัญชาฟรี ค้านเอื้อสัมปทานให้นายทุน
การเมือง
เลขาธิการพรรคฯ กล่าวอีกว่า แม้ว่าผู้มีหน้าที่บอกว่ายังไม่ให้สัมปทานกับใคร แต่พรรคขอเรียกร้องว่าอย่าทำอะไรที่ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน เพราะกัญชาต้องเป็นของประชาชนทั้งประเทศ ต้องเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้ โดยรัฐบาลเป็นพี่เลี้ยงในการควบคุมให้กัญชาเกิดประโยชน์สูงสุด และป้องกันไม่ให้เกิดโทษ ไม่ใช่นำกฎหมายมาใช้เพื่อเป็นอุปสรรคต่อประชาชนในการได้รับประโยชน์จากกัญชา เราเรียกร้องให้รัฐบาลรีบดำเนินการในส่วนที่จะทำให้ประชาชนได้ประโยชน์จากกัญชาจริงๆ ไม่สร้างภาระให้ประชาชนในฐานะผู้บริโภค พรรคไม่เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ ดังนั้นต้องมีการแก้กฎหมายตามนโยบายพรรค ทั้งทางการแพทย์ และเชิงพาณิชย์ ประชาชนต้องเข้าถึงกัญชาได้เสรี โดยการปลูกบ้านละ 6 ต้น และรวมกันเป็นวิสาหกิจชุมชนเชิงพาณิชย์ได้ โดยรัฐบาลวิจัยให้ฟรี และมีหน้าที่รับซื้อจากประชาชน ไม่ใช่มีหน้าที่ปลูกเอง
“อีก 20 วันจะวันเลือกตั้ง ขอเรียกร้องให้ประชาชนช่วยกันคัดค้าน อย่าให้รัฐบาลมาทำแบบนี้ ประชาชนต้องช่วยกันแสดงฉันทามติในวันที่ 24 มี.ค. เข้าคูหาอย่างมีสติ ป้องกันการผูกขาดการปลูกกัญชา ขอให้เลือกพรรคภูมิใจไทย วันนี้เราคัดค้านด้วยการทำสติ๊กเกอร์แจกประชาชน ให้ทราบว่าพรรคภูมิใจไทยจะคัดค้านเรื่องนี้จนกว่าจะสำเร็จ เราศึกษานโยบายจริงๆ ไม่ได้ลอกใคร หรือคิดเอาเอง เราจัดทำเรื่องนี้เรียบร้อย โดยจัดทำเป็นร่างพ.ร.บ.และระเบียบแก้ไขไว้เรียบร้อย หากอยากให้ทำเร็วก็เลือกเราเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล รวมถึงนโยบายด้านอื่นๆด้วยมหากพรรคได้เป็นรัฐบาลแล้วทำไม่ได้ พรรคจะขอลาออกเอง โดยไม่ต้องรอเลือกตั้งครั้งหน้า” นายศักดิ์สยาม กล่าว
ด้านนายศุภชัย กล่าวว่า ในข้อกฎหมายตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2562 ระบุบุคคลมี 7 กลุ่ม สิ่งที่ระบุไว้ไม่มีประชาชนทั่วไป ดังนั้นเราเรียกร้องให้ประชาชนมีเสรีในการปลูกกัญชาแต่ละครัวเรือน ไม่ใช่รัฐบาลผูกขาดสิ่งทั้งปวงของกัญชาในประเทศไว้กับรัฐเสียเอง แทนที่จะให้ประชาชนอย่างเสรี เช่น มาตรา 26/5 (7) เรื่องคณะกรรมการว่าด้วยกัญชา เท่าที่ดูเป็นข้าราชการถึง 24 คน เสมือนว่ารัฐกำลังดำเนินการรวบอำนาจนี้ไว้ในมือ ผูกขาดสัมปทานตรงนี้ให้นายทุน เพราะฉะนั้นหากพรรคภูมิใจไทยได้เป็นรัฐบาลจะดำเนินการแก้กฎหมายฉบับนี้ให้ประชาชนปลูกได้ในแต่ละครัวเรือน รวมถึงแก้ไขการรวมตัวของกลุ่มเป็นวิสาหกิจชุมชน โดยให้รัฐเข้ามาอำนวยความสะดวกเรื่องการวิจัยต่างๆ พรรคพร้อมแก้กฎหมายฉบับนี้เพื่อประโยชน์ประชาชน
จากนั้นนายศักดิ์สยาม พร้อมด้วยพ.อ.เศรษฐพงค์และนายศุภชัย ร่วมกันติดสติ๊กเกอร์รณรงค์คัดค้านนายทุนผูกขาดสัมปทานกัญชาให้กับขบวนรถหาเสียงของพรรค ที่บริเวณลานจอดรถของพรรคด้วย
ทั้งนี้เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา บริเวณชั้น 2 ศูนย์ผลิตภัณฑ์สุขภาพเบ็ดเสร็จ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) มีประชาชนเดินทางมาสอบถาม และแจ้งการครอบครองผลิตภัณฑ์กัญชา ตามที่มีกฎหมายนิรโทษกรรมผู้ครอบครองกัญชา ให้แจ้งการครอบครองภายใน 90 วันโดยไม่ต้องรับโทษ ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมามี นายศุภชัย ได้เดินทางมาเพื่อให้กำลังใจกับผู้ที่มาแจ้งการครอบครองกัญชา
นายศุภชัย กล่าวว่า ด้วยความที่พรรคภูมิใจไทยมีนโยบายเกี่ยวกับเรื่องกัญชามาตลอด และได้ติดตามกฎหมายของรัฐเกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็พบว่ามีการผูกขาดให้กับนายทุน โดยอาศัยกฎหมายกำหนดว่าในระยะเวลา 5 ปีทุกอย่างต้องร่วมกับรัฐ แม้แต่ประชาชนในรูปของวิสาหกิจชุมชนก็เช่นกัน จึงมาให้กำลังใจกับผู้ที่มาแจ้งการครอบครองว่า พรรคมีความพร้อมที่จะทำให้กัญชาสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้จริง และปลูกได้อย่างเสรีครอบครัวละ 6 ต้น โดยสามารถใช้ได้ภายในบ้านของตน พรรคยืนยันว่า คนไทยต้องได้ใช้ประโยชน์จากกัญชาทั้งหมด ไม่ใช่แค่ให้นายทุนเท่านั้น เพราะเราไม่แน่ใจว่าหลังจาก 5 ปีไปแล้วที่กฎหมายกำหนดให้ร่วมกับรัฐ จะเป็นอย่างไรก็ไม่มีใครทราบ เพราะจากกฎหมายก็ชัดเจนว่าเป็นการรวบอำนาจ อย่างกรรมการที่พิจารณากัญชาก็มาจากภาครัฐ ซึ่งเป็นผู้ชี้ขาดว่าจะอนุญาตใครปลูก เป็นการผูกขาดชัดเจน
ผู้สื่อข่าวถามว่า การจะให้ปลูกเสรี แต่ปัจจุบันกฎหมายไม่ได้กำหนด แสดงว่าต้องแก้กฎหมาย หรือแก้ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 7) พ.ศ.2562 นายศุภชัย กล่าวว่า ใช่ ซึ่งพรรคกำลังทำ โดยต้องยุติการรวบอำนาจจากรัฐ และนำกัญชาออกจากยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 และให้แต่ละครอบครัวปลูกกัญชา 6 ต้น โดยมีการควบคุมตามกฎหมาย โดยมุ่งเน้นให้กัญชาเป็นพืชเศรษฐกิจด้วย
วันเดียวกัน น.ส.ลีนา จังจรรจา หรือ ลีน่าจัง ได้เดินทางมายื่นขอนิรโทษ พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า ตนเองป่วยเป็นโรคซึมเศร้า นอนไม่หลับ จึงได้ไปศึกษาหาข้อมูลจนพบว่าน้ำมันกัญชาช่วยรักษาโรคได้ จึงได้ไปติดต่อหามาใช้พบว่าทำให้หลับได้สบาย และอาการกังวลก็ลดน้อยลงไปด้วย ทั้งนี้ตนคิดว่า มาตรการนี้ของ อย.ดี แต่ยังไม่มีความชัดเจน ประชาชนยังไม่ทราบว่าต้องใช้หลักฐานใดมายื่น ทำให้หลายคนเสียเวลา เสียเงินหลายรอบเพื่อมายื่น อีกอย่างต้องนำตัวยามาสำแดงยิ่งทำให้ประชาชนเกิดความหวาดวิตก กลัวโดนจับ จึงยังไม่มีใครกล้ามาแจ้ง จึงอยากให้ภาครัฐชี้แจงให้ชัด ให้ประชาชนได้ทราบอย่างทั่วถึง และจะได้กล้าออกมาลงทะเบียน.