ข่าวพรรคการเมืองเร่งชิงพื้นที่ตะลุยหาเสียงเลือกตั้ง - kachon.com

พรรคการเมืองเร่งชิงพื้นที่ตะลุยหาเสียงเลือกตั้ง
การเมือง

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. สำหรับบรรยากาศการหาเสียงของพรรคการเมืองเป็นไปอย่างคึกคัก โดย ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยคณะผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ในจ.กาญจนบุรี ได้แก่ เขต1 นายอาศุชิน เป้าอารีย์ , เขต 2 นายฉัตรพันธ์ เดชกิจสุนทร, เขต 3 นายปารเมศ โพธารากุล, เขต 5 นพ.สุรพงษ์ ตันธนศรีกุล และนางศรีสมร รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ เหรัญญิกพรรคและผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ลงพื้นที่จากประชาชนที่ตลาดนัดบ้านทุ่งมะสัง หมู่ 3 ต.หนองกุ่ม อ.บ่อพลอย จ.กาญจนบุรี เพื่อขอคะแนนเสียงให้กับพล.ท.ทำนุ โพธิ์งาม ผู้สมัครส.ส.กาญจนบุรี เขต 4 พรรคประชาธิปัตย์  โดยมีพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนมามอบดอกไม้ รวมทั้งขอถ่ายภาพกับนายอภิสิทธิ์เป็นจำนวนมาก ทำให้บรรยากาศภายในตลาดเริ่มคึกคัก



ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงการชูนโยบายในการลงพื้นที่หาเสียงในจ.กาญจนบุรี  ว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในจ.กาญจนบุรี มีปัญหาเรื่องราคาอ้อย ซึ่งถ้าพรรคได้กลับมาเป็นรัฐบาล จะปรับระบบราคาอ้อยและน้ำตาลให้สอดคล้องกับความเป็นจริง รวมถึงช่วยเหลือเกษตรกรชาวไร่อ้อย และจัดระบบการแบ่งปันผลประโยชน์กรณีที่นำอ้อยไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดอื่น นอกจากนี้ยังมีปัญหาระบบชลประทานที่ยังไปไม่ถึง ซึ่งเราจะผลักดันเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะเมื่อน้ำเข้าไปถึงพื้นที่ ก็จะสามารถช่วยเหลือเกษตรกรได้มากขึ้น

เมื่อถามว่า มั่นใจมากน้อยแค่ไหนว่าจะได้ ส.ส.ทั้ง 5 เขต นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า มั่นใจว่าจะได้ ส.ส.ทั้ง 5 เขต เพราะที่ผ่านมาเคยเดินทางมาที่ จ.กาญจนบุรี อยู่หลายครั้ง และพี่น้องประชาชนก็มีความผูกพันกับพรรคประชาธิปัตย์ และผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคครั้งนี้ ได้ทำงานกันเป็นทีมเพราะทุกคนมีความตั้งใจที่จะเข้ามาพัฒนา จ.กาญจนบุรี ทั้งจังหวัด ซึ่ง จ.กาญจนบุรี นั้นมีศักยภาพที่สูงมาก เพราะว่านอกเหนือจากภาคการเกษตรแล้ว ยังมีเรื่องของการท่องเที่ยว รวมทั้งเรื่องของการค้าชายแดน ซึ่งจะเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญต่อ จ.กาญจนบุรี

ต่อมาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และคณะ เดินทางไปหาเสียงที่จ.สุพรรณบุรี โดยสักการะศาลเจ้าพ่อพระยาจักร ก่อนเดินพบประชาชนในตลาดอู่ทอง อ.อู่ทอง เพื่อขอคะแนนเสียงสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ และพล.ต.ต.มณฑล มีอนันต์ ผู้สมัคร ส.ส.สุพรรณบุรี เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์  ก่อนจะไปปราศรัยนโยบายด้านการศึกษาต่อคณะครูและนักเรียน ที่โรงเรียนปรีดาวิทย์ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี โดยนายอภิสิทธิ์ กล่าวยตอนหนึ่งว่า  พรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญกับการศึกษา พรรคประชาธิปัตย์จะขยายนโยบายเรียนฟรีไปจนถึง ปวส. อีกทั้ง เราอยากยกระดับการศึกษาเพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยมีคุณภาพก้าวทันโลกที่มีเปลี่ยนแปลงและมีความซับซ้อนมากขึ้น อย่างน้อยต้องมีความเชี่ยวชาญด้านภาษาต่างประเทศ ซึ่งเราตั้งเป้าว่าเด็กไทยทุกคนต้องพูดได้อย่างน้อย 2 ภาษา  นอกจากนี้ เด็กทุกคนต้องเข้าใจและใช้คอมพิวเตอร์ได้ ที่สำคัญต้องมีคุณธรรมและมีทักษะการใช้ชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคม และพลเมืองที่ดี

จากนั้น อภิสิทธิ์และคณะ จะกลับไปยัง จ.กาญจนบุรี อีกครั้ง เพื่อช่วยผู้สมัครส.ส.กาญจนบุรีขอคะแนนเสียงจากประชาชนในหลายพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดท่าเรือ อ.ท่ามะกา ตลาดท่าม่วง อ.ท่าม่วง และบ้านกร่างทอง อ.ท่าม่วง จ.กาญจนบุรี



ขณะเดียวกัน ที่อ.เมือง จ.นครสวรรค์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.)ได้เข้าร่วมพิธีเปิดสาขาพรรคภาคเหนือ ร่วมกับนายสรอรรถ กลิ่นประทุม ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษาพรรค  นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รองหัวหน้าพรรค โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

นายอนุทิน กล่าวว่า พี่น้องให้การต้อนรับ อย่างอบอุ่น ทางพรรคเห็นความสำคัญของจ.นครสวรรค์ ในฐานะชุมชนทางการค้าระหว่างภาคกลางกับภาคเหนือ การเลือกตั้งครั้งนี้เราต้องการเป็นตัวเลือกที่ดีของพี่น้อง วันนี้ตนเห็นผู้สูงอายุจำนวนมากมาร่วมงาน ซึ่งตนมีหน้าที่พัฒนาให้ชีวิตความเป็นอยู่ท่านดีขึ้น เราจะดูแลท่านด้วยนโยบายของเราซึ่งไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ทั้งนี้ยืนยันว่าพรรคเราไม่แจกเงิน ไม่เน้นการแก้ปัญหาชั่วคราว เราเน้นการแก้ปัญหาจริงจังอย่างยั่งยืน เราต้องสนับสนุนให้ทุกท่านพึ่งพาตัวเอง จ.นครสวรรค์ และพื้นที่ใกล้เคียง ชาวบ้านนิยมทำนา แต่ทำไป ไม่รวย เพราะถูกเอาเปรียบ เราเสนอเรื่องแบ่งปันกำไร ออกเป็นกฎหมาย มีคณะกรรมการร่วมหลายฝ่าย และชาวนาต้องเสียงดัง รัฐมีหน้าที่เข้าข้างเกษตรกร ไม่ใช่นายทุนนี่คือสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยจะทำ

“กัญชาเป็นพืชทางการแพทย์ แต่เขามองเป็นใบไม่มีพิษ อย่างไรก็ตามสำหรับพรรคภูมิใจไทย เรามองเป็นโอกาส ใบไม้สีเขียวคือธนบัตร ทุกคน ทุกบ้าน ปลูกได้ 6 ต้น มีรายได้ 4 แสนบาทต่อปี รวยซะให้เข็ด ยิ้มตาหยี ก็มีเงิน ขอย้ำว่ากัญชาไม่เคยทำร้ายใครและใครอยากได้เราร่วมรัฐบาล ต้องรับนโยบายของเรา” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าว



ด้านนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ประธานคณะกรรมการเฉพาะกิจในการรณรงค์  การหาเสียงเลือกตั้ง พรรคพลังประชารัฐ(พปชรง) กล่าวถึงกรณีที่พรรคพลังประชารัฐ เตรียมให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ช่วยหาเสียงและขึ้นเวทีปราศรัยว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ ช่วยพรรคพลังประชารัฐหาเสียงได้จะเป็นประโยชน์ต่อคะแนนและกระแสของพรรคเป็นเชิงบวกสูงอย่างมาก ประชาชนเองอยากฟังท่านพูดปราศรัยและยินดีออกมาต้อนรับอย่างล้นหลาม และตรงนี้จะเป็นกำลังใจที่จะทำให้ท่านสู้กับงานหนักต่อไปได้อีก 4 ปี เป็นพลังให้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างแรงกล้า แต่ทีมงานจะต้องศึกษารายละเอียดของข้อกฎหมายต่างๆให้รอบคอบว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ ไม่ให้สิ่งต่างๆที่ท่านจะทำผิดกฎหมายและข้อบังคับ เนื่องจากขณะนี้บรรดาพรรคการเมืองต่างๆจ้องที่จะรุมกินโต๊ะทั้งพรรคพลังประชารัฐและพล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นตรงจุดนี้ต้องวางแผนให้ละเอียดรอบคอบ

เมื่อถามว่า การลงพื้นที่ภาคเหนือในช่วงนี้ดูเงียบไปเกิดจากสาเหตุใด นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ช่วงนี้ภาคเหนือเราปรับเป็นเวทีปราศรัยเล็ก ไม่ได้เงียบไป แต่เราปรับวิธีการและกำลังเร่งทำนโยบายเสริมเข้าไปอีก โดยในช่วงสัปดาห์หน้าเราจะเปิดเวทีปราศรัยใหญ่ที่จ.สุโขทัย และจ.เชียงราย คาดว่าจะมีประชาชนสนใจมาร่วมฟังการปราศรัยจำนวนมากและน่าจะเป็นภาพที่สวยงาม ส่วนจะจัดวันใดนั้นขณะนี้กำลังรอความชัดเจนจากทางพรรคก่อน เบื้องต้นเรากำหนดไว้ในวันที่ 14 มี.ค.นี้

เมื่อถามว่า ถึงเวลานี้ 20 ที่นั่งส.ส.ในภาคเหนือถือเป็นเรื่องยากหรือไม่ นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนคิดว่าไม่น่ามีปัญหา เรายังมั่นใจว่าจะได้จำนวนส.ส.ตามเป้าหมาย จากการลงพื้นที่กระแสของพรรคยังดีอยู่มาก นอกจากนี้ยังเราได้ทำนโยบายใหม่ที่จะถูกใจเกษตรกรโดยเฉพาะชาวนา จากเดิมที่รัฐให้ค่าเก็บเกี่ยวไร่ละ 2,000 บาท ครอบครัวละ 20 ไร่ หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาลเราจะเพิ่มให้อีกไร่ละ 1,500 บาท รวมแล้วชาวนาจะได้ไร่ละ 3,500 บาท ตกแล้วจะได้ครอบครัวละ 70,000 บาทเลยทีเดียว ซึ่งเงินที่เพิ่มมานั้นเราเอามาจากเงินค่าเก็บข้าว การชะลอขายข้าวเปลือก ซึ่งปีที่ผ่านมาเงินส่วนนี้ยังไม่ได้ใช้เลย เราจึงจะปรับเอามาช่วยชาวนาตรงจุดนี้ โดยหลังจากนี้เราจะเร่งประชาสัมพันธ์ให้ทุกคนได้ทราบ ตนมั่นใจว่านี่คือการช่วยเหลือพี่น้องชาวนาให้มีรายได้เพิ่มขึ้น ลดภาระหนี้สินและทำให้เงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น



ในวันเดียวกัน ที่จ.หนองบัวลำภู นายอารี ไกรนรา นายวิโชติ วัณโณ รองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ และคณะกรรมการบริหารพรรค พร้อมด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาตินำคณะลงพื้นที่ เพื่อช่วยผู้สมัครพรรคเพื่อชาติ เขต 1 นางณัฐพิชา ณ อุบล เขต 2 นายธีรธนา ด่านพงษ์ และเขต 3 นายสมภาร สุขอ้วน หาเสียง โดยในช่วงเช้าได้เดินพบประชาชน ที่ตลาดสด อ.ศรีบุญเรือง และขึ้นรถแห่หาเสียง จากตลาดอ.ศรีบุญเรืองไปปราศรัย ที่ วัดมอเหนือ ตรงข้าม อบต.โนนม่วง จากนั้น เดินพบปะประชาชนอีกครั้ง ที่ ตลาดสด อ.เมือง ท่ามกลางประชาชนและพ่อค้าแม่ค้า ให้การตอบรับกันอย่างคึกคัก

นายอารี กล่าวว่า พรรคเพื่อชาติส่งผู้สมัครครบทั้ง 3 เขตของ จ.หนองบัวลำภู โดยส่วนตัวนั้นเป็นจังหวัดที่ตนมีความผูกพันมาก เพราะเป็นฐานคนเสื้อแดง ที่มีความลึกซึ้งด้านประชาธิปไตย เคยผ่านการต่อสู้ร่วมเป็นร่วมตายกันมาแบบไม่ธรรมดา ดังนั้นจังหวัดนี้จึงเป็นความหวัง ของพรรคเพื่อชาติ หากประชาชนต้องให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ( คสช.)กลับบ้านก็ต้องเลือกพรรคเพื่อชาติ และต้องท่องให้ขึ้นใจว่าเป็นการเลือกพรรคเพื่อชาติไม่ใช่การตัดคะแนนของฝั่งประชาธิปไตย แต่เป็นการเพิ่มเสียงฝ่ายให้ประชาธิปไตย

ด้านนายจตุพร กล่าวถึงกรณีที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายกฎหมายบอกชัดเจนว่าพล.อ.ประยุทธ์เป็นข้าราชการการเมืองหรือเจ้าหน้ารัฐ ตามมาตรา 98(12) เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีก็ได้รับการยกเว้นจากรัฐธรรมนูญซึ่งสามารถถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เป็นการตีความเข้าข้างฝ่ายเดียวกันหรือไม่ การพูดของนายวิษณุไม่ใช่คำตอบสุดท้าย ของการชี้ผิดชี้ถูก และตนไม่ต้องการให้เกิดทฤษฎีสมคบคิด หากเรื่องนี้สุจริตใจตั้งแต่ต้น ก็ควรให้กกต. ส่งเรื่องให้รัฐธรรมนูญวินิจฉัย เพื่อเป็นบรรทัดฐานต่อไป ซึ่งคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐอยู่ทั้งทางพฤตินัย และนิตินัย พล.อ.ประยุทธ์ได้รับเงินเดือนทั้งตำแหน่งหัวหน้าคสช. นายกรัฐมนตรี และใช้อำนาจตามพ.ร.บ.การบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงเป็นผู้บังคับบัญชาของนายวิษณุ ดังนั้นเรื่องนี้คนที่เป็นนิติบริกรอย่างนายวิษณุคงต้องคิดหามุมแต่นายวิษณุต้องรู้ว่าไม่มีอำนาจในการวินิจฉัย หรือชี้ขาด ซึ่งตนมองว่ากรรมจะเป็นเครื่องชี้เจตนา นอกจากคำว่าเจ้าหน้าที่รัฐแล้วพล.อ.ประยุทธ์ซึ่งพยายามหนีและเปลี่ยนสถานะในเฟซบุ๊กว่าเป็นบุคคลสาธารณะแต่เชื่อได้เลยว่าไม่มีบุคคลสาธารณะคนใดมีอำนาจสั่งการบริหารราชการแผ่นดิน แต่งตั้ง สว. อีก 250 คนได้ ซึ่งทุกอย่างคือการเอาเปรียบทุกเม็ด



นอกจากนี้ นางถวิลวดี บุรีกุล  ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า และอดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ  (สปท.) เปิดเผยว่า  เนื่องด้วยในวันที่ 8 มี.ค. ตรงกับวันสตรีสากล โดยการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคการเมืองแต่ละพรรคให้ความสำคัญ กับการส่งผู้สมัคร โดยคำนึงถึงความเสมอภาคทางเพศมากน้อยเพียงใด ซึ่งพบว่าพรรคการเมืองที่ส่งผู้สมัครหญิงในระบบบัญชีรายชื่อสูงสุดคือพรรครวมพลังประชาชาติไทยจากรายชื่อที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง ( กกต.)ได้ประกาศแล้วมีผู้สมัครหญิง จำนวน 72 คน ขณะที่เป็นชาย 68 คน  รองลงมา คือ พรรคประชาภิวัฒน์  ซึ่งมีจำนวนผู้สมัครหญิง 59คน เป็น ชาย 65 คน   พรรคประชานิยม ผู้สมัครหญิง 38 คน เป็นชาย 73 คน พรรคภูมิใจไทย เป็นผู้สมัครหญิง 33 คน เป็นชาย 111 คน  พรรคเพื่อชาติ ผู้สมัครหญิง 30 คน เป็นชาย 113 คน ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ เป็นผู้สมัครหญิง 24 คน เป็นชาย 126 คน  พรรคพลังประชารัฐ มีผู้หญิง 13 คน ผู้ชาย 107 คน พรรคอนาคตใหม่ มีผู้หญิง 13 คนและผู้ชาย 108 คน  ส่วนพรรคอื่นๆที่เหลือก็มีการส่งผู้สมัครที่เป็นหญิงบ้าง แต่มีจำนวนไม่มากนัก

“ที่สำคัญคือการมีผู้สมัครมากก็ต้องให้ผู้หญิงอยู่ในลำดับต้นๆด้วย มีเพียงพรรครวมพลังประชาชาติไทยที่ส่งผู้สมัครในระบบบัญชีรายชื่อแบบสลับเพศ และบางพรรคก็ใช้แบบ 4 : 1 หรือ 5:1 เรียงกันไปเป็นต้นเช่น พรรคประชาธิปัตย์ หวังว่าเลือกตั้งคราวนี้ จะมีผู้หญิงเข้าสภามากขึ้น”นางถวิลวดี กล่าว

นางถวิลวดี กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังพบว่าพรรคการเมืองตื่นตัวในการส่งผู้สมัครที่เป็นผู้หญิงลงแข่งขันในระบบเขต ของ กทม. เพิ่มมากขึ้น  โดย30 เขต เลือกตั้ง  พบว่า จำนวนผู้สมัคร 1,207 คน เป็นผู้สมัครหญิง 278 คน คิดเป็น  ร้อยละ 23.03 โดยเขตที่มีจำนวนผู้สมัครหญิง มากที่สุดก็คือเขต 8 (ลาดพร้าว วังทองหลาง) จากจำนวนผู้สมัคร 34 คนเป็นผู้หญิง 16 คน  ลำดับที่ 2 คือเขต 21  (บางนา พระโขนง) จากจำนวนผู้สมัคร 27 คนมีผู้หญิง 14 คนถือว่าเกินครึ่งของผู้สมัคร  ลำดับที่3 คือเขต 17 (หนองจอก) ที่มีผู้สมัครทั้งสิ้น 36 คนเป็นผู้หญิง 13 คนและเขต 2(บางรัก สาทร) มีผู้สมัครทั้งสิ้น 31 คนเป็นผู้หญิง 13 คน   ส่วนเขตที่มีผู้สมัคร หญิงน้อยที่สุดซึ่งมีจำนวน 6 คนก็คือเขต 6 (ราชเทวี) เขต 20 (สวนหลวง)และเขต 14 (บึงกุ่ม)ที่มีจำนวนเขตละ 6 คนเท่ากัน   โดยเฉลี่ยแล้วแต่ละเขตจะมีผู้สมัครรวมประมาณ 30 คน ผู้สมัครที่เป็นผู้หญิงมีความแตกต่างกันไปในแต่ละเขต มีจำนวนตั้งแต่จำนวน 6 คน จนกระทั่งถึง16 คน.