'สุริยะ'แฉพรรคขนาดกลางใช้เศรษฐีใจบุญหว่านเงินให้ปชช.
การเมือง
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่สนามข้างโรงพยาบาล อ.ครบุรี จ.นคราชสีมา นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานยุทธศาสตร์ภาคอีสานพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมด้วยนายอนุชา นาคาศัย ประธานยุทธศาสตร์ภาคกลางพรรคพลังประชารัฐ ขึ้นเวทีปราศรัยช่วยนายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือแรมโบ้อีสาน ผู้สมัคร ส.ส.นครราชสีมา เขต 10 หาเสียง ท่ามกลางประชาชนที่มาร่วมรับฟังจำนวนมาก
ทั้งนี้นายสุริยะ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า หากพรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล เราจะพักหนี้กองทุนหมู่บ้าน ประชาชนไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมด เป็นระยะเวลา 3 ปี และเมื่อเราเข้าไปบริหารได้ 2-3 ปี เศรษฐกิจจะดีขึ้น ประเทศมีรายได้มากขึ้น หนี้ที่พักไว้ก็อาจจะได้รับการยกหนี้ไปเลย ขณะเดียวกันจะเสนอตั้งกองทุนประชารัฐ เพื่อให้ประชาชนสามารถกู้ไปจับจ่ายใช้สอยในชีวิตประจำวัน โดยกองทุนนี้จะให้หมู่บ้านละ 2 ล้านบาท นอกจากนี้พรรคยังสานต่อบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของรัฐบาลชุดนี้ โดยจะเพิ่มจำนวนเงินในบัตร ให้สามารถเอาไปซื้อสิ่งจำเป็น คนไม่มีบัตรก็จะสำรวจใหม่หากเข้าคุณสมบัติก็จะทำให้ อีกหนึ่งนโยบาย คือการสร้างงานในพื้นที่ เช่น สร้างโรงงาน เพื่อให้ลูกหลานคนโคราช ไม่ต้องออกไปหางานทำในกทม.และต่างจังหวัด ที่สำคัญ เรื่องราคามันสำปะหลัง พรรคคุยกันแล้วอย่างน้อยต้องกิโลกรัมละ 3 บาท หากไม่ได้ก็อายพี่น้อง คงอยู่ในการเมืองไม่ได้ ดังนั้นขอให้เลือกนายสุภรณ์ และเลือกพรรคพลังประชารัฐยกจังหวัด เพราะเราตั้งใจเข้ามาแก้ปัญหาให้พี่น้องประชาชน
"ในช่วง 5-6 เดือนที่ผ่านมาได้รับข้อมูลว่ามีเศรษฐีใจบุญแจกจ่ายเงินให้ชาวบ้านในพื้นที่ และเศรษฐีคนนี้เป็นผู้สนับสนุนพรรคการเมืองหนึ่ง ซึ่งเป็นพรรคขนาดกลาง แต่เชื่อเถอะว่า หลังการเลือกตั้งเขาจะหายไป จึงขออย่าหลงไปเชื่อในสิ่งที่เขาบอกว่าจะได้เป็นแกนนำตั้งรัฐบาล เพราะในประวัติศาสตร์การเมือง ไม่มีพรรคขนาดกลางพรรคไหนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้ พรรคที่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลคือพรรคขนาดใหญ่อย่างพรรคพลังประชารัฐ" นายสุริยะ กล่าว
ด้านนายอนุชา กล่าวว่า ตนเป็นเพื่อนกับนายสุภรณ์ ตั้งแต่ปี 2544 นายสุภรณ์ถือเป็นน้องรัก เป็นคนเก่ง เป็นคนดี เวลาต่อสู้นายสุภรณ์มักยืนอยู่แถวหน้า เพราะเชื่อว่าเป็นการต่อสู้เพื่อประชาชนคนยากคนจน ชาวไร่ชาวนา และชาวสวนจนกระทั่งวันนี้ เขาเพิ่งมารู้ว่าเขาคิดผิด เพราะการต่อสู้ที่เขาคิดว่าเพื่อประชาชน สุดท้ายกลับเป็นการต่อสู้เพื่ออำนาจของคนๆหนึ่ง เขาจึงเดินออกมาเพื่อร่วมกันสร้างความปรองดอง ความสงบสุข หลังขัดแย้งมานานกว่า 10 ปี วันนี้พรรคพลังประชารัฐเล็งเห็นความเดือดร้อนของประชาชนทุกภาคส่วน โดยเฉพาะชาวนา ที่ผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็ยังยากจน ดังนั้นหากพลังประชารัฐได้เป็นรัฐบาล พรรคจะเติมเงินบาทแรกให้ชาวนา เพื่อให้หลุดพ้นจากความยากจน ลืมตาอ้าปากได้ เนื่องจากเรามีนโยบายช่วยชาวนาเรื่องค่าเก็บเกี่ยวไร่ละ 2 พันบาท จำนวน 20 ไร่ และจะให้เพิ่มในเรื่องค่าปลูกอีก 1,500 ต่อไร่ ใครเก็บรักษาข้าวไว้จะได้อีกเกวียนละ 1,500 บาท ซึ่งการเก็บข้าวไว้ก็เพื่อให้ข้าวมีราคาดี นี่คือนโยบายอันชาญฉลาดของพรรคพลังประชารัฐ ในการเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ราคามันสำปะหลังราคาต้องไม่ต่ำกว่า 3 บาท ส่วนเรื่องที่ดินทำกินเรามีนโยบาย ส.ป.ก.4.0 ที่สามารถแปลงทรัพย์สินเป็นทุนได้ เอาที่ไปจำนองได้ เปลี่ยนมือได้ ที่สำคัญยังมีนโยบายมารดาประชารัฐ เพราะลูกหลานของเราคือทรัพยากรสำคัญของประเทศ พรรคจึงขอมีส่วนร่วมในการดูแลตั้งแต่ตั้งครรภ์ ไปจนถึง 6 ปี รวมเป็นเงินจำนวนกว่า 181,000 บาท ดังนั้นวันนี้ขอพวกเราทุกคนนำพาประเทศไปด้วยกันด้วยกัน 24 มีนากาพรรคพลังประชารัฐ.