ข่าว'ชัชชาติ'แนะ'บิ๊กตู่'ลงมาสัมผัสปชช.จะได้รู้ปัญหาของจริง - kachon.com

'ชัชชาติ'แนะ'บิ๊กตู่'ลงมาสัมผัสปชช.จะได้รู้ปัญหาของจริง
การเมือง

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ที่ตลาดบางขุนศรี นายชัชชาติ สิทธิ์พันธุ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย (พท.) ลงพื้นที่หาเสียงช่วยนายพงศ์พันธ์ ยอดเมืองเจริญ ผู้สมัครส.ส.กทม. เขต 30 พรรคเพื่อไทย โดยประชาชนให้ความสนใจเข้ามาทักทาย และขอถ่ายภาพคู่กับนายชัชชาติ จำนวนมาก

โดยนายชัชชาติ ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาการจราจรในพื้นที่ย่านจรัญสนิทวงศ์ ว่า แม้ว่าถนนเส้นจรัญสนิทวงศ์จะมีรถไฟฟ้า แต่ปัญหาที่ต้องเข้าไปแก้ไข คือ เส้นเลือดฝอยที่จะนำประชาชนในชุมชนมายังรถไฟฟ้า นอกจากนี้ปัญหาที่ตามมาคือผลกระทบจากแนวรถไฟฟ้า ลักษณะ และรูปแบบการทำมาหากินจะเปลี่ยนไป ที่บางจุดจะกลายเป็นเซ็นเตอร์ที่คนมาลงรถไฟฟ้า แต่ห้องแถวที่เลยไปจะมีปัญหาเรื่องการทำมาหากิน จะต้องมาดูว่าจะปรับแก้อย่างไร เพราะห้องแถวที่อยู่ห่างแถวห่างจากสถานีรถไฟฟ้าจะทำมาหากินยาก

เมื่อถามถึงกรณีนายกรัฐมนตรีจะไม่ขึ้นปราศรัยในเวทีใดๆ ช่วยพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เพราะกังวลในเรื่องของข้อกฎหมาย นายชัชชาติ กล่าวว่า อยู่ที่วิจารณญานของแต่ละคน แต่หัวใจหลักของการลงพื้นที่คือได้สัมผัสกับปัญหา และให้ประชาชนซักถามวิธีการแก้ไข ทั้งนี้ ตนอยากให้ท่านลงมาสัมผัสกับประชาชนในพื้นที่จริงๆจะได้รู้ว่าปัญหาคืออะไร ไม่ใช่คนที่จัดตั้งมา นี่คือเหตุผลของการมีส.ส.เป็นผู้แทนของประชาชน เพราะหากไม่มีการลงพื้นที่จริงจะไม่รู้ปัญหา



เมื่อถามถึงกรณี กกต. เดินทางไปดูงานการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร โดยใช้งบประมาณจำนวนมาก และทำให้องค์ประชุมที่จะพิจารณาเรื่องสำคัญไม่ครบ นายชัชชาติ กล่าวว่า กกต.เป็นผู้ใหญ่ที่มีวิจารณญาณ แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยีมีการพัฒนา ตนสามารถใช้ไลน์คุยกับลูกที่เรียนอยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาได้โดยไม่ต้องเดินทางไปเอง จึงอยากให้ กกต. ใช้งบประมาณย่างมีประสิทธิภาพ วันนี้ปัญหาเกี่ยวกับการเตรียมการเลือกตั้ง และการป้องกันการทุจริตอยู่ที่นี่ และเป็นเรื่องสำคัญ หากจะเดินทางไปดูงานที่ต่างประเทศก็ไปได้ แต่ของให้ไปเท่าที่จำเป็น และในระยะเวลาที่จำกัด 

เมื่อถามถึงกรณีที่ขณะนี้พรรคเพื่อไทย ยังไม่มีเวทีปราศรัยใหญ่ปิดการหาเสียงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร เพราะถูกปฏิเสธจากหลายๆหน่วยงาน ในขณะที่บางพรรคการเมืองได้ใช้พื้นที่ที่ปฏิเสธไม่ให้พรรคอื่นใช้มาตลอด นายชชัชชาติ กล่าวว่า เราคงมีจุดที่เหมาะสมในที่สุด ตอนนี้เลือกกันอยู่ แต่ส่วนตัวมองว่าจุดปราศรัยไม่สำคัญ เพราะประชาชนสามารถฟังผ่านช่องทางออนไลน์ได้ แต่ถึงอย่างไรเราก็อยากได้จุดที่เป็นสัญลักษณ์ และประชาชนเดินทางไปมาสะดวก ส่วนที่เราไม่ได้ใช้พื้นที่บางพื้นที่ปราศรัยนั้น เชื่อว่า ความยุติธรรมประชาชนจะเห็นเอง แต่ไม่กังวลเพราะเรามีเทคโนโลยีที่ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ทุกคน ซึ่งเราจะถ่ายทอดสดให้พี่น้องประชาชนรับชมผ่านสื่อต่างๆด้วย



ทางด้านพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และคณะ ลงพื้นที่จ.ยะลา โดยได้ขึ้นรถแห่พร้อมกับนายภูริพงศ์ พงษ์สุวรรณศิริ ผู้สมัครส.ส.ยะลา เขต 1 พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 8 ไปทั่วเขตเทศบาลนครยะลา และเดินตลาดผังเมือง 4 ต.สะเตง อ.เมือง เพื่อพบปะประชาชนพร้อมขอคะแนนเสียงสนับสนุนแก่พรรคประชาธิปัตย์และนายภูริพงศ์ โดยระหว่างการเดินหาเสียง ได้มีชายพิการทางสายตาคนหนึ่งเดินมากล่าวกับนายอภิสิทธิ์ ว่า ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยนายกฯคนเดียว ประชาชนทุกคนต้องมีส่วนร่วมแก้ปัญหา จึงจะสำเร็จ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ กล่าวขอบคุณ จากนั้นมีประชาชนสอบถามถึงการทำให้ราคายางพาราไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 60 บาท ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ชี้แจงแนวทางและยืนยันว่าทำได้จริง



ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์ว่า  พรรคเชื่อมั่นว่าจะมีโอกาสได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งส.ส.ยะลาทุกเขต  สำหรับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เรายังยึดหลักการเมืองนำการทหาร ดึงทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วม เสริมบทบาทของศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) และกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขยังต้องเดินต่อแบบมีเป้าหมาย ส่วนการทำให้ราคายางพาราไม่ต่ำกว่ากก.ละ 60 บาท เราทำได้จริง ด้วยมาตรการดึงราคายางพาราออกจากตลาดอย่างเป็นระบบผ่านโครงการของรัฐ รวมถึงสะสางปัญหาเอกสารสิทธิ์ที่ทำกินในสวนยาง และปัญหาสวัสดิการแรงงานในสวนยาง อีกทั้งต้องใช้พื้นที่ในสวนยางอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงทำให้ประชาชนมีแหล่งรายได้อื่นเพิ่มเติมด้วย และมีการประกันรายได้ยางพาราที่กก.ละ 60 บาทด้วย

จากนั้น คณะของนายอภิสิทธิ์ เดินทางไปที่สวนสาธารณะ ต.โกตาบารู อ.รามัน จ.ยะลา เพื่อหาเสียงให้กับนายอับดุลเล๊าะ บุวา ผู้สมัครส.ส.ยะลา เขต 2 พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 11 โดยหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวปราศรัยเน้นย้ำนโยบายด้านการศึกษา การดูแลเด็กเล็ก เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ และการให้ค่าตอบแทนแก่อสม. ก่อนจะมุ่งไปหาเสียงเลือกตั้งและกล่าวปราศรัยที่เขตเทศบาลเบตง จ.ยะลา เพื่อช่วยหาเสียงให้กับนายณรงค์ ดูดิง ผู้สมัครส.ส.ยะลา เขต 3 พรรคประชาธิปัตย์ หมายเลข 12





ขณะที่ ทางฝั่งพรรคเพื่อชาติ  นายอารี ไกรนรา นายวิโชติ วัณโณ รองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ และคณะกรรมการบริหารพรรค พร้อมด้วย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ นำคณะลงพื้น ช่วยผู้สมัครพรรคเพื่อชาติหาเสียง 10 เขต รวด จ.ขอนแก่น โดยในช่วงเช้าเวทีแรกจัดปราศรัย ที่ บึงทามจั๊กจั่น เทศบาลต.สีชมพู อ.สีชมพู ท่ามกลางการต้อนรับจากพี่น้องประชาชนจำนวนมาก

นายจตุพร กล่าวว่า ประเทศไทยมีสิ่งที่ต้องทำและผูกพันอยู่ 3 เรื่อง คือ การฟื้นประเทศไทย สร้างประชาธิปไตย และก้าวไปด้วยกัน ดังนั้นประเทศไทยจะฟื้นจากความยากจนไม่ได้หากประเทศไม่เป็นประชาธิปไตย ซึ่งการเมืองและเศรษฐกิจเป็นของคู่กัน ห้าปีนี้พิสูจน์แล้ว ถ้าการเมืองเป็นเผด็จการ ประชาชนเกิดความยากจนแสนสาหัส ประเทศเสียหาย ซึ่งระบบเผด็จการนี้ก็แปลงร่างมาเป็นนักบุญ เช่น เผด็จการทหารของประเทศไทย ที่ทำบัตรคนจน หรือรูปแบบอื่นๆ เพื่อบอกว่านี่คือแนวทางการแก้ไขปัญหาชาติ ทั้งที่รากเง้าปัญหาของความจน เกิดจากบ้านเมืองเป็นเผด็จการ เพราะฉะนั้นหน้าที่ของพรรคเพื่อชาติคือพาบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อให้เศรษฐกิจดีขึ้น นักท่องเที่ยว นักลงทุนต่างชาติก็จะมาลงทุนที่บ้านเรา

นายจตุพร กล่าวว่า ส่วนกรณีที่พรรคพลังประชารัฐยกเลิกแผนที่จะนำ พล.อ.ประยุทธ์ มาช่วยปราศรัยหาเสียงนั้น ตนเชื่อว่ามีการประเมินสถานการณ์อย่างดีแล้วว่าการปราศรัยแม้ว่าจะมีคนมาจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนนั้น จะไปเลือกพรรคพลังประชารัฐ เพราะเมื่อประชาชนไม่ได้มาด้วยจิตใจและศรัทธา ก็ไม่มีประโยชน์อันใด.