'บิ๊กแดง'นำทัพทหารกว่า800นาย ปฏิญาณตนรักษาสถาบันกษัตริย์
การเมือง
ทั้งนี้ภายในหอประชุมกิตติขจร ก่อนเริ่มประชุมนขต.ทบ.วาระพิเศษ พล.อ.อภิรัชต์ ได้เป็นประธานมอบประกาศนียบัตรให้กับพ.ท.ปกิจ ผลฟัก รองหัวหน้ากองยุทธการ มณฑลทหารบกที่ 12 (มทบ.12) ในฐานะผบ.ร้อย.รส.กกล.รส.จ.ปราจีนบุรี พร้อมกล่าวชื่นชมตอนหนึ่งว่า ขอชื่นชมที่มีความอดทนอดกลั้น สามารถควบคุมอารมณ์ได้เป็นอย่างดีจากการถูกยั่วยุและหมิ่นประมาทขณะปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งสถานการณ์นี้ตนเองเคยพูดไว้หลายครั้งแล้วก่อนจะมีการหาเสียงของพรรคการเมืองต่างๆ ว่าทหารจะยืนอยู่ตรงไหน เราทำหน้าที่ตามคำสั่งผู้บังคับบัญชาให้ดูแลความสงบเรียบร้อย ตนได้พูดล่วงหน้าก่อนหน้านี้ไว้หลายครั้ง ครั้งนี้ถือเป็นตัวอย่างในการปฏิบัติหน้าที่ของทหารเพียงงานเดียวเท่านั้นที่ทหารเข้าไปมีส่วนร่วมและเข้าไปอยู่กับประชาชน โอกาสที่ทหารจะสัมผัสกับประชาชนด้วยหน้าที่แล้วน้อยมาก ทหารจะสัมผัสกับประชาชนก็ต่อเมื่อประชาชนเดือดร้อน มีภัยพิบัติ บ้านเมืองมีศึกสงครามนั้นคือหน้าที่หลักของทหาร ในห้วงที่บ้านเมืองกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการเปลี่ยนแปลง มีการเลือกตั้ง ทหารต้องทำหน้าที่ของตนเองด้วยความอดทน อดกลั้น เป็นกลาง ดำเนินทุกอย่างตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติหน้าที่ของพ.ท.ปกิจนั้น ถือเป็นตัวอย่างหนึ่ง ขอให้ผู้บังคับบัญชาทุกคนชี้แจงให้ผู้ใต้บังคับบัญชาฟัง เรามีสมบัติผู้ดี เราถูกฝึกอบรมสั่งสอนมาเป็นหนึ่งเดียวกัน อยู่ในเบ้าหลอมเดียวกัน จากนี้ไปยิ่งต้องมีความระมัดระวัง ที่สำคัญเราต้องรักษาเกียรติความเป็นทหารอาชีพของเราไว้ให้ดี เมื่อใดที่เราแตกกัน ไม่รัก ไม่สามัคคีกัน ประเทศชาติอยู่ไม่ได้ และคงจะมีเหตุการณ์ลักษณะนี้อีก ก็ต้องให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ผ่านพ้นอุปสรรคไปได้ ให้ประชาชนเห็นว่าเราเป็นทหารอาชีพ เรามีความอดทนอดกลั้น
อย่างไรก็ตามถือเป็นครั้งแรกที่ผบ.ทบ.นำกำลังพลที่คุมกำลังรบมาปฏิญาณตนก่อนการประชุมนขต.ทบ. วาระพิเศษ ภายหลังจากที่มีการโจมตีกองทัพในช่วงระหว่างการหาเสียงของพรรคการเมือง รวมทั้งมีการหมิ่นเกียรติของทหาร โดยการประชุมนขต.ทบ.วาระพิเศษครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตให้ผู้เข้าร่วมการประชุมนำโทรศัพท์มือถือเข้าไปในห้องประชุมด้วย
นอกจากนี้ระหว่างการประชุมยังมีการแจกเอกสารข้อมูลเรื่องการสร้างความเข้าใจในภาพรวมเกี่ยวกับการดำเนินงานต่างๆ ของกองทัพบกให้กับผู้ร่วมประชุมทั้งหมด โดยแบ่งเป็น 7 ข้อ อาทิ ที่มาของการมีกำลังทหาร อำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม และหน้าที่กองทัพบก ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.2551 การใช้กำลัง การเตรียมกำลัง ซึ่งในส่วนนี้ได้ระบุว่า ถึงแม้ในการเตรียมกำลังนั้น มีความจำเป็นต้องใช้กำลังพลจำนวนมาก และเป็นการจัดหน่วยที่มีความสมบูรณ์สูง แต่กองทัพบกยังมีความพยายามในการลดขนาดกองทัพลง แต่ต้องการพัฒนาความรู้ และเทคโนโลยีเข้ามาแทน หรือใช้คนน้อยลง ในลักษณะคนคุมเครื่องมือและยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย แต่ต้องมีประสิทธิภาพเท่าเดิมหรือดีกว่าเดิม ในส่วนของงบประมาณได้ระบุว่า ในปีงบประมาณปี 2545 เป็นต้นมา กระทรวงกลาโหมได้รับการจัดสรรงบประมาณโดยเฉลี่ยร้อยยะ 1.29 ของจีดีพี ซึ่งตามหลักสากลทั่วไปกระทรวงกลาโหมควรต้องได้รับการจัดสรรไม่น้อยกว่าร้อยละ 2 ของจีดีพี อีกทั้งกระทรวงกลาโหมได้รับงบประมาณเพิ่มตามสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 3 ต่อปี เช่นเดียวกับกระทรวงกลาโหมของประเทศต่างๆ
รวมถึงยังมีข้อมูลเรื่องการรับราชการทหารกองประจำการโดยสมัครใจ ( ระบบทหารกองประจำการอาสาสมัคร) ซึ่งกำหนดไว้ในแผนยุทธศาสตร์กองทัพบก ระยะเวลา 20 ปี2560-2579 โดยมีทหารกองประจำการอาสาสมัครได้ ร้อยละ100 โดยปี 2561 กระทรวงกลาโหมมีความต้องการทหารกองประจำการสัดส่วนประมาณ ร้อยละ 20 ของชายไทยที่ต้องเข้ารับการตรวจเลือก ซึ่งมีประมาณ 5 แสนคน ในส่วนสุดท้ายยังได้ระบุถึงความจำเป็นที่ประเทศต้องมีทหารว่า ทหารหรือที่เรียกว่ารั้วของชาติ มีบทบาทสำคัญมากมายแก่ชาติไทย ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งประเทศชาติ ในการปกป้องเอกราช และทหารยังทำหน้าที่ในการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน ในอนาคตทหารจำเป็นต้องมีส่วนสนับสนุนส่วนราชการอื่นในการช่วยเหลือประชาชนมากขึ้น เนื่องจากทหารมีความพร้อมมากกว่า ทั้งในแง่การจัดองค์กร กำลังพล และยุทโธปกรณ์ ทั้งนี้ทหารทำงานด้วยแรงศรัทธา อุดมการณ์ ไม่ได้จ้างด้วยเงิน เพราะเงินซื้อสิ่งเหล่านี้ไม่ได้.