'จตุพร'คล้อยตาม'ชูวิทย์'ลต.รอบนี้ของเก๊เพียบ!!
การเมือง
นายจตุพร กล่าวว่า ตนมองว่าทุกฝ่ายไม่ควรวิจารณ์เรื่องการยุบพรรคไทยรักษาชาติ (ทษช.)แล้ว ถือว่าแต่ละคนเห็นทุกเรื่องครบถ้วนแล้ว เรื่องสำคัญคือฝ่ายประชาธิปไตยจะเดินหน้าอย่างไร พรรคเพื่อชาติเคารพการตัดสินใจของประชาชน ด้วยความเชื่อมั่นว่าประชาชนที่สนับสนุนพรรคทษช. ยังยืนหยัดฝ่ายประชาธิปไตย ดังนั้น วันนี้ยังมีพรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่ยังยืนหยัดอยู่ ทุกคะแนนยังไม่หายไปไหน ส่วนการตัดสินใจของประชาชนจะไปเลือกพรรคการเมืองใดนั้น ล้วนแต่เป็นสิทธิแต่ พรรคเพื่อชาติจะไม่อธิบายความว่าจะให้พรรคไทยรักษาชาติมาสนับสนุนพรรคเพื่อชาติ เพราะจะเป็นการอธิบายที่มักง่ายไป แต่เป็นเรื่องของฝ่ายประชาธิปไตยที่ควรคำนึงว่าจะรักษาเสียงที่มีเป้าหมายถึง 376 เสียงได้อย่างไร
ส่วนกรณี นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ วิเคราะห์ หลังไทยรักษาชาติ โดนยุบ โดยเชื่อว่าเลือกตั้งครั้งนี้ ของเก๊เยอะ ไม่เกินสิ้นปี ได้เลือกใหม่นั้น นายจตุพร กล่าวว่า คนที่เคยเห็นเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 และการอธิบายเช่นนั้นมีความเป็นไปได้สูงมาก พร้อมเชื่อว่า การมีกฎกติกาเช่นนี้ เราจะไม่ได้รัฐบาลที่มีเสถียรภาพและอายุของสภาชุดนี้อาจจะอยู่ได้ไม่นานแต่เมื่อผ่านการเลือกตั้งครั้งนี้ไปแล้วและการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีความยั่งยืนกว่าให้กับฝ่ายประชาธิปไตย แต่วันนี้เราควรเดินไปให้ใกล้จุดประชาธิปไตยให้ดีที่สุดเท่าเราจะเดินได้ เพราะเงื่อนไขในรัฐธรรมนูญมีมากเหลือเกิน ดังนั้นเส้นชัยในรอบนี้เราต้องมุ่งมั่นไปให้ถึงจุดหมายแม้ว่าจะไม่ใช่จุดหมายปลายทางที่แท้จริง
นายจตุพร ยังกล่าวถึงกรณีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เคาะ 400 รายชื่อชิงเก้าอี้ ส.ว. ซึ่งหนึ่งในนั้นมีชื่อน้องชาย คือพล.ต.อ. พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. เข้าชิงเก้าอี้ด้วยนั่น เป็นเรื่องที่หาสิ่งถูกต้องไม่ได้อยู่แล้วในการแต่งตั้งวุฒิสภาครั้งนี้ เพื่อการนำไปสู่การสืบทอดอำนาจเป็นเรื่องที่ไม่ได้เหนือความคาดหมาย อีกทั้งการออกแบบรัฐธรรมนูญที่ให้อำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ แต่งตั้งวุฒิสภา 250 คน เว้น 6 คนที่มาโดยตำแหน่งเพื่อเข้ามาเลือกพล.อ.ประยุทธ์ ไปเป็นนายกรัฐมนตรีต่อ โดยพล.อ.ประยุทธ์ก็ถูกแต่งตัวรออยู่ในบัญชีนายกรัฐมนตรีของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งตนได้ฟังหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐให้ข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ไม่ต้องมาช่วยหาเสียงก็ได้ แค่เป็นนายกรัฐมนตรีก็ช่วยได้เยอะแล้ว จึงเป็นคำตอบเรื่องการใช้อำนาจรัฐในการสร้างประโยชน์เอื้อให้กับพรรคพลังประชารัฐ พร้อมมองว่าเรื่องนี้สังคม ประชาชนจะต้องติดตามว่าการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีซึ่งปรากฎผลในการเอื้อประโยชน์ เท่ากับเป็นใบเสร็จตอกย้ำถึงความอยุติธรรมในการเลือกตั้งครั้งนี้ อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่า ไม่ว่าจะใช้อำนาจขนาดไหน แต่คำตอบสุดท้ายของประชาชนก็ยังไม่เลือกพรรคพลังประชารัฐอยู่ดี เพราะทุกคนเข็ดหลาบกับ 5 ปีที่ผ่านมา.