ปล่อยภาพ'โอตู่'เรียกคะแนนโค้งสุดท้าย
การเมือง
Webmaster
2019-03-10 14:08:00
11
Webmaster
2019-03-10 14:08:00
11
-
สนับสนุนเนื่อหา
เมื่อวันที่ 10 มี.ค. เวลา 07.00 น. นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล โฆษกพรรคพลังประชารัฐ พร้อมด้วยน.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และน.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ ผู้สมัครส.ส.กทม. เขต 6 พรรคพลังประชารัฐ ได้ลงพื้นที่หาเสียงภายในสวนรถไฟ โดยนายกอบศักดิ์และคณะได้ปั่นจักรยาน 1 รอบ และวิ่งออกกำลังกาย ต่อด้วยการเล่นเครื่องออกกำลังกาย ก่อนจะเดินทักทายประชาชนที่มาออกกำลังกายยามเช้า ซึ่งได้รับความสนใจและขอถ่ายรูปเป็นระยะๆ นานกว่า 2 ชั่วโมง ทั้งนี้ นายกอบศักดิ์โชว์ความฟิตของร่างกายด้วยการโหนบาร์ดึงข้อและซิทอัพ 11 ครั้งติดกัน เท่ากับหมายเลข 11 ของผู้สมัคร ซึ่งเรียกเสียงฮือฮากับคนที่ยืนลุ้นด้วย
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า กระแสของพรรคดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผู้สมัครของพรรค จะเป็นทางเลือก รวมถึงนโยบายของพรรค จากการเดินพบปะกับประชาชน ยังมีความต้องการที่จะให้พัฒนาเเละเปลี่ยนแปลงกรุงเทพมหานคร เช่น นโยบายด้านสุขภาพ ขณะกันพรรคประชารัฐเติบโตย่างก้าวกระโดดตั้งแต่พรรคเริ่มตั้งมา 4 เดือน ประชาชนรู้จักว่าเป็นพรรคที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นพรรคที่ทำนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ขัดแย้งกับใคร จึงทำให้นโยบายเข้าถึงในใจทุกคน เช่นเดียวกับการหาเสียง ปราศรัยที่ จ.ขอนแก่นเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมามีผู้มาร่วมฟังกว่า 35,000 คน จึงเห็นว่าวันนี้อีสานเปลี่ยนแล้ว และ ประเทศไทยกำลังเปลี่ยน พรรคพลังประชารัฐจึงเป็นส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงประเทศนำความสงบกลับคืนมาให้ทุกคนเดินหน้าต่อไปได้
“วันนี้ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนแปลงกรุงเทพมหานครแล้ว เพราะเราเลือกผู้สมัคร ส.ส.กันมากี่ปีแล้ว อยู่กับสิ่งเดิม ๆ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง วันนี้จึงขอโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่พร้อมเปลี่ยนแปลง กทม.นำนโยบายดีๆ ของพรรคพลังประชารัฐ อาทิ หาบเร่แผงลอย ถนนคนเดิน คลองสวยน้ำใส ถ้าเรายังเลือกส.ส.เหมือนเดิม เราก็จะได้เหมือนเดิม จึงถึงเวลาที่ต้องเลือกคนรุ่นใหม่เข้ามาเปลี่ยนเเปลง กทม.”โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าว
โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการปรับภาพลักษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะออกมาเรื่อย ๆ อาทิ "โอตะ โอตู่" ซึ่งเป็นภาพที่น่ารัก ว่า ที่จริงแล้ว ถ้าใครที่ได้ร่วมงานด้วยจะเห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์เป็นคนน่ารัก ยิ้มง่าย ตรงไปตรงมา สำหรับการหาเสียงของพรรคในช่วงโค้งสุดท้าย ถึงแม้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ออกปราศรัย แต่ก็ได้ให้คำปรึกษาพรรคอย่างใกล้ชิด ให้รับฟังปัญหา แล้วนำมาทำนโยบายใหม่ ๆ โดยนโยบายใหม่ๆที่ออกมานั้นตรงใจประชาชน เช่น นโยบายที่ชาวนายิ้ม ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา นโยบายเติมเงินบาทแรกให้ชาวนา ช่วยค่าปลูก ไร่ละ 1,500บาท ค่าเกี่ยวไร่ละ 2,000 บาท และ ค่าเก็บ ตันละ 1,500 บาท เป็นต้น อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่เหลือทางพรรคพลังประชารัฐจงลงพื้นที่ให้หนักขึ้น
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการนำเสนอโผรายชื่อบุคคลที่จะได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งมีผู้ใกล้ชิดกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รวมถึงคนใกล้ชิดเหล่าทหาร จนอาจทำให้ถูกมองว่าพรรคพลังประชารัฐได้เปรียบนั้น นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายชื่อ ไม่ทราบว่าใช้รายชื่อที่แท้จริงหรือไม่ และไม่ได้สนใจเพราะไม่เกี่ยวพรรค แต่พรรคมีเป้าหมายเดียว คือ ต้องการให้ได้เสียง ส.ส.ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
“หัวใจไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแต่หัวใจ คือ เอานโยบายที่สัญญากับประชาชน นำไปสู่การปฏิบัติให้ได้มากที่สุด เพราะเลือกตั้งเสร็จสถานการณ์การเมืองจะเปลี่ยนไปหมด เลือกตั้งเสร็จทุกอย่างต้องผ่านสภา ถ้ามีเสียงในสภาไม่พอ ทุกอย่างเดินหน้าได้ยากมาก ทุกนโยบายสามารถคนคัดค้านได้ตลอดเวลา เราก็จะเดินได้ยาก ดังนั้นพลังประชารัฐต้องได้เสียงให้เยอะ อย่างน้อยต้องให้ได้150 เสียง ขณะเดียวกันผู้ที่จะมาร่วมรัฐบาลต้องบวกกันให้เกิน 250 เสียง เพราะไม่มีทางที่จะเอาเสียงข้างน้อยไปบวกกับ ส.ว. ซึ่งจะทำงานไม่ได้ ดังนั้น ส.ว.จึงไม่ใช่เป้าหมายของเรา และจากการฟังนโยบายของหลายพรรคก็มีนโยบายที่ดีมาก จึงหวังว่าจะได้มีโอกาสได้ร่วมทำงานกัน นำความสุขเปลี่ยนแปลง ตอบสนองพี่น้องประชาชน”นายกอบศักดิ์ กล่าว.
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า กระแสของพรรคดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งผู้สมัครของพรรค จะเป็นทางเลือก รวมถึงนโยบายของพรรค จากการเดินพบปะกับประชาชน ยังมีความต้องการที่จะให้พัฒนาเเละเปลี่ยนแปลงกรุงเทพมหานคร เช่น นโยบายด้านสุขภาพ ขณะกันพรรคประชารัฐเติบโตย่างก้าวกระโดดตั้งแต่พรรคเริ่มตั้งมา 4 เดือน ประชาชนรู้จักว่าเป็นพรรคที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี เป็นพรรคที่ทำนโยบายบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และเป็นพรรคการเมืองที่ไม่ขัดแย้งกับใคร จึงทำให้นโยบายเข้าถึงในใจทุกคน เช่นเดียวกับการหาเสียง ปราศรัยที่ จ.ขอนแก่นเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมามีผู้มาร่วมฟังกว่า 35,000 คน จึงเห็นว่าวันนี้อีสานเปลี่ยนแล้ว และ ประเทศไทยกำลังเปลี่ยน พรรคพลังประชารัฐจึงเป็นส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงประเทศนำความสงบกลับคืนมาให้ทุกคนเดินหน้าต่อไปได้
“วันนี้ถึงเวลาที่เราต้องเปลี่ยนแปลงกรุงเทพมหานครแล้ว เพราะเราเลือกผู้สมัคร ส.ส.กันมากี่ปีแล้ว อยู่กับสิ่งเดิม ๆ ไม่มีความเปลี่ยนแปลง วันนี้จึงขอโอกาสให้คนรุ่นใหม่ที่พร้อมเปลี่ยนแปลง กทม.นำนโยบายดีๆ ของพรรคพลังประชารัฐ อาทิ หาบเร่แผงลอย ถนนคนเดิน คลองสวยน้ำใส ถ้าเรายังเลือกส.ส.เหมือนเดิม เราก็จะได้เหมือนเดิม จึงถึงเวลาที่ต้องเลือกคนรุ่นใหม่เข้ามาเปลี่ยนเเปลง กทม.”โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าว
โฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงการปรับภาพลักษณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ ที่จะออกมาเรื่อย ๆ อาทิ "โอตะ โอตู่" ซึ่งเป็นภาพที่น่ารัก ว่า ที่จริงแล้ว ถ้าใครที่ได้ร่วมงานด้วยจะเห็นว่าพล.อ.ประยุทธ์เป็นคนน่ารัก ยิ้มง่าย ตรงไปตรงมา สำหรับการหาเสียงของพรรคในช่วงโค้งสุดท้าย ถึงแม้พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ได้ออกปราศรัย แต่ก็ได้ให้คำปรึกษาพรรคอย่างใกล้ชิด ให้รับฟังปัญหา แล้วนำมาทำนโยบายใหม่ ๆ โดยนโยบายใหม่ๆที่ออกมานั้นตรงใจประชาชน เช่น นโยบายที่ชาวนายิ้ม ซึ่งเป็นการช่วยเหลือที่มากที่สุดเท่าที่เคยมีมา นโยบายเติมเงินบาทแรกให้ชาวนา ช่วยค่าปลูก ไร่ละ 1,500บาท ค่าเกี่ยวไร่ละ 2,000 บาท และ ค่าเก็บ ตันละ 1,500 บาท เป็นต้น อย่างไรก็ตามช่วงเวลาที่เหลือทางพรรคพลังประชารัฐจงลงพื้นที่ให้หนักขึ้น
เมื่อถามถึงกรณีที่มีการนำเสนอโผรายชื่อบุคคลที่จะได้รับการสรรหาเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ซึ่งมีผู้ใกล้ชิดกับพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม รวมถึงคนใกล้ชิดเหล่าทหาร จนอาจทำให้ถูกมองว่าพรรคพลังประชารัฐได้เปรียบนั้น นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ยังไม่เห็นรายชื่อ ไม่ทราบว่าใช้รายชื่อที่แท้จริงหรือไม่ และไม่ได้สนใจเพราะไม่เกี่ยวพรรค แต่พรรคมีเป้าหมายเดียว คือ ต้องการให้ได้เสียง ส.ส.ให้ได้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
“หัวใจไม่ใช่ชนะเลือกตั้งแต่หัวใจ คือ เอานโยบายที่สัญญากับประชาชน นำไปสู่การปฏิบัติให้ได้มากที่สุด เพราะเลือกตั้งเสร็จสถานการณ์การเมืองจะเปลี่ยนไปหมด เลือกตั้งเสร็จทุกอย่างต้องผ่านสภา ถ้ามีเสียงในสภาไม่พอ ทุกอย่างเดินหน้าได้ยากมาก ทุกนโยบายสามารถคนคัดค้านได้ตลอดเวลา เราก็จะเดินได้ยาก ดังนั้นพลังประชารัฐต้องได้เสียงให้เยอะ อย่างน้อยต้องให้ได้150 เสียง ขณะเดียวกันผู้ที่จะมาร่วมรัฐบาลต้องบวกกันให้เกิน 250 เสียง เพราะไม่มีทางที่จะเอาเสียงข้างน้อยไปบวกกับ ส.ว. ซึ่งจะทำงานไม่ได้ ดังนั้น ส.ว.จึงไม่ใช่เป้าหมายของเรา และจากการฟังนโยบายของหลายพรรคก็มีนโยบายที่ดีมาก จึงหวังว่าจะได้มีโอกาสได้ร่วมทำงานกัน นำความสุขเปลี่ยนแปลง ตอบสนองพี่น้องประชาชน”นายกอบศักดิ์ กล่าว.
