เห็นใจผมบ้าง!'บิ๊กตู่'พ้อโดนวาทกรรมสืบทอดอำนาจ
การเมือง
นายกฯ กล่าวว่า สิ่งสำคัญที่เป็นความรับผิดชอบของตนตั้งแต่ 22 พ.ค. 2557 คือทำอย่างไรให้ประชาชนทุกกลุ่มทุกฝ่ายมีชีวิตที่ดีกว่าเดิม ซึ่งทุกรัฐบาลต้องคิดแบบนี้ ตนจึงใช้อำนาจที่มาแบบนี้ มาแก้ปัญหาในเชิงบูรณาการ และอาจใช้มาตรา 44 บ้างในบางเรื่อง โดยคำนึงถึงประเทศชาติเสมอ วันนี้ประชาชนหวังเพียงว่าทำอย่างไรหลังเลือกตั้ง ประเทศชาติจะสงบสุข มั่นคง และเศรษฐกิจดีขึ้น อย่างไรก็ตามหลังเลือกตั้งก็ขึ้นอยู่กับประชาชนต้องการผู้นำแบบไหน คงเห็นรายชื่อนายกฯ กันหมดแล้วทุกคน จึงไปดูว่าอยากเลือกใครและพอใจใคร มีผลงานเป็นรูปธรรมอย่างไรบ้าง และขอให้ความเป็นธรรมตนด้วยว่าทำอะไรไปแล้วบ้าง
เมื่อถามว่า รู้สึกอย่างไรใกล้โค้งสุดท้ายโพลยังหนุนให้นั่งนายกฯต่อ ส่วนคะแนนพรรคก็ขึ้นมาเป็นอันดับ2 ว่า โค้งสุดท้ายแต่ยังไม่ท้ายสุด ขอขอบคุณคนที่สนับสนุน แต่อยากจะรู้จริงหรือไม่ เพราะโพลก็คือโพล คำถามคำตอบก็เป็นไปตามที่ทำ แต่ขอบคุณ รู้ว่ามีคนปราถนาดีจำนวนมากพอสมควร และขอให้มองประเทศชาติเป็นหลัก ชอบตนแต่รักประเทศชาติให้มากกว่า ทั้งนี้ชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน ตือจิตมั่นในการทำงานของผมตลอดไป และถ้ายังมีโอกาสทำงานก็แค่นั้นเอง
"ช่วงนี้จึงทำตัวให้เครียดน้อยลง ไม่นั้นเส้นโลหิตในสมองแตกตายไปแล้ว ฟังวิพากษ์วิจารณ์ไปมา หาเสียงด่าผม แต่ก็ไม่เคยไปด่าตอบ อย่าไปให้ความสนใจมากนัก ถ้าสนใจทุกเรื่องผมคงตายไปแล้ว กฎหมายมีอยู่แล้วไม่อยากให้ใช้วาทกรรมกัน การสืบทอดอำนาจนี่เหรอ มันก็พูดยาก การสืบทอดอำนาจในทางการเมืองก็ทำกันมาตลอดไม่ใช่เหรอ ไม่เช่นนั้นใครอยากเป็นนายกฯ พรรคไหนไม่อยากเป็นนายกฯ ไม่อยากเป็นรัฐบาลบ้าง มันก็สืบทอดอำนาจทางการเมืองเหมือนกันนั่นแหละ ของผมที่มาอาจคนละแบบ แต่อย่าลืมว่าผมเป็นนายกฯ ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญชั่วคราว ผมก็เป็นนายกฯแล้ว ไม่ใช่หัวหน้าคสช. ไม่ใช่หัวหน้าคณะปฏิวัติรัฐประหาร ถ้าตอนนั้น มีรัฐธรรมนูญออกมา ผมไม่ทำก็เรียบร้อย หยุดสถานการณ์ไม่ได้ ผมก็เป็นกบฏสิ นั่นแหละมันจบของผมตรงโน้น จากนั้นมาผมก็เป็นนายกฯ ตามกฎหมาย อย่าไปย้อนแย้งกลับไปกลับไม่จบสักที"นายกฯ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า ขณะเดียวกันขอให้ดูว่าเมื่อเป็นนายกฯ แล้วตนทำอะไรไปแล้วบ้าง และทำความเสียหายอะไรให้ประเทศที่ไม่ใช่เป็นไปตามวาทกรรม ซึ่งคงพูดไม่หมดที่ทำไปแล้วและสำเร็จ รวมทั้งการทำกฎหมายไป 300 กว่าฉบับ มากกว่ารัฐบาลที่ผ่านมา ดังนั้นการบอกว่าตนเป็นเผด็จการลองย้อนถามว่าตั้งแต่ตนเข้ามาประชาชนและผู้ประกอบการเดือดร้อนอะไรหรือไม่ รวมถึงการประท้วงก็ทำได้ปกติเว้นแต่การละเมิดกฎหมายการชุมนุมและทำให้ประชาชนเดือดร้อน ซึ่งการเป็นประชาธิปไตยต้องคำนึงกฎหมายอื่นๆ ด้วย เราอาจเคยชินกับรัฐบาลที่อะไรก็ได้ ซึ่งการทำให้ประชาชนรักอย่างเดียวนั้นมันง่าย
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า การทำงาน 4-5 ปีที่ผ่านมา ผู้บังคับบัญชาของตนคือประชาชน ในทางการเมือง นายกฯ คือผู้รับอาสาเข้ามาทำงานด้วยความเต็มใจที่อยากจะมา แต่ตนมาเพราะความจำเป็น ต้องแยกให้ออก ว่าที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น อย่าเพิ่งลืมก่อน 22 พ.ค.57 เข้าทำเนียบฯ กันมาได้ง่ายหรือไม่ การค้าขายตามท้องถนนทำได้หรือไม่ ปัญหาการจราจรติดขัด อย่าเอาทุกอย่างมาปนกัน ถ้าตนทำงานมาแล้วไม่ดีเลย ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เศรษฐกิจก็แย่ลง ก็เป็นอีกเรื่อง แต่วันนี้เศรษฐกิจและจีดีพีดีขึ้นทุกตัว เว้นแต่ปัญหารายได้น้อยที่ต้องปรับโครงสร้างอีกหลายเรื่อง อยากให้เข้าใจความตั้งใจของตน ต้องยอมรับว่าปัญหาหลายอย่างแก้ยาก แต่ตนก็จะทำต่อ ถ้ามีโอกาสก็จะทำให้
"วันนี้ผมไม่อยากให้ไปฟังอะไรที่บิดเบือนมากๆ วันนี้เป็นช่วงเลือกตั้งถ้าผมพูดไปเดี๋ยวก็หาว่าไปก้าวล่วงคนอื่นเขาอีก แต่คนอื่นก้าวล่วงผมไม่มีใครสนใจ เห็นใจผมบ้าง ทุกวันนี้ก็หนักพอสมควรอยู่แล้ว แต่ผมก็อารมณ์ดี เพราะผมเป็นคนอารมณ์ดีโดยพื้นฐาน คนเรายิ้มให้กันไม่เสียหาย ตื่นเช้ามาผมหัดยิ้มทุกวัน ยิ้มยังไงให้มันยาวๆ หลายคนบอกว่า ผมแกล้งยิ้มไปอย่างนั้น ผมเป็นคนดุร้าย ใจคอโหดเหี้ยม พูดไปโน้น ผมมีเมตตา กรุณา พระเจ้าผมก็เคารพนับถือ สัตว์ทุกตัวผมก็รัก หมา แมว รักหมด ผมไม่ใช่คนใจร้าย แต่ผมจะใจร้ายกับอริราชศัตรู เป็นหน้าที่ของผม ถ้าผมไม่ทำอย่างนี้ท่านก็อยู่ดีมีสุขไม่ได้ ย่ิงวันนี้ผมมาดูแลประเทศไม่หนักกว่าเหรอ เดิมเป็นเจ้าหน้าที่ทหารอย่างเดียว อย่ามามองว่าสืบทอดอำนาจ อย่ามองว่าเผด็จการกันเลย ไปดูมีใครถูกดำเนินคดีกี่คน นั้นผิดกฎหมายปกติ ปล่อยแล้ว อนุโลมแล้วก็ยังทำผิดซ้ำ แล้วคนอื่นไม่เบื่อหน่ายบ้างหรืออย่างไร ไปถามคนอื่นบ้างเขาไม่เบื่อหรือไม่ และถ้าผมไม่ทำจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็กลับมาด่ารัฐบาล ปล่อยให้อยู่อย่างนี้ได้อย่างไร มันผิดทั้งหมด เพราะฉะนั้นการเป็นประชาธิปไตยต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย" นายกฯกล่าว.