ข่าวสถ.ยันก.ม.ที่ดินตัดวงจรเงินใต้โต๊ะ-อปท.มีรายได้เพิ่ม - kachon.com

เมื่อวันที่ 13 มี.ค. นายประยูร รัตนเสนีย์  อธิบดีกรมที่ดิน กล่าวถึง กรณีการประกาศใช้ พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ.2562 และ ให้ใช้บังคับ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. พ.ศ.2563 ว่า กฎหมายดังกล่าวนี้เป็นของกระทรวงการคลัง ซึ่งทางกรมที่ดินจะมีหน้าที่ให้การสนับสนุนข้อมูล เช่น การถือครองที่ดินของหน่วยงานราชการ หรือเอกชน ให้กับทางองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบการจัดเก็บภาษีดังกล่าว  ซึ่งอปท. จะต้องไปตรวจสอบดูในแต่จะพื้นที่ว่าที่อยู่เป็นของใครบ้าง

ด้านนายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น (สถ.) กล่าวว่า กฎหมายดังกล่าวนี้จะบังคับในในวันที่ 1 ม.ค. 63 ดังนั้นขอประชาชนอย่างเพิ่งตกใจ ซึ่งระระเวลาที่เหลือนี้เราจะยังใช้กฎหมายเก่าคือ ภาษีที่ดินและโรงเรือน รวมถึงทางอปท. กรมที่ดิน และกรมธนารักษ์ จะดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน เช่น รูปแบบที่ดิน (โฉนดที่ดิน) และการประเมินราคา  นอกจากนี้ จะเตรียมพร้อมเจ้าหน้าที่ถึงการประเมินเรียกเก็บภาษีตามกฎหมายใหม่ ซึ่งจะต้องมีการลงสำรวจตรวจสอบพื้นที่ โดยจะต้องมีการแจ้งเจ้าของอาคาร ที่ดิน เพื่อขอเข้าประเมินราคา รวมถึงจะเรียกเก็บภาษีในอัตราเท่าไหร่ ทั้งนี้หากเจ้าของที่ดิน อาคารเห็นว่าการประเมินราคาของเจ้าหน้าที่ไม่ถูกต้อง ก็สามารถยื่นอุทธรณ์ เพื่อให้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบได้  อย่างไรก็ตามในเรื่องดังกล่าวนี้ทาง นาย วิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมว. การคลัง  ได้แนะนำให้ทาง สถ.จัดอบรมเรื่องดังกล่าวนี้ ให้กับทางผู้เกี่ยวข้องที่มีอำนาจในการใช้กฎหมาย และ อปท. ทั่วประเทศ

นายสุทธิพงษ์ กล่าวว่า การออกกฎหมายดังกล่าวนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อตัดระบบการรับเงินใต้โต๊ะ แจ้งใบประเมินราคาต่ำ เพื่อเรียกเก็บภาษีในราคาที่ถูก นอกจากนี้จะทำให้การเก็บภาษีเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา จะทำให้ อปท. มีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวนี้ยังให้ความดูแลเกษตรกรเป็นพิเศษ ถ้าเกษตรกรมีที่ดินราคาไม่ถึง 5 ล้านบาทก็ไม่ต้องเสียภาษี

เมื่อถามว่า มีการตั้งข้อสังเกตว่า อปท. มีจะศักยภาพเพียงพอในการเก็บภาษีหรือไม่ อธิบดีสถ. กล่าวว่า ทางอปท. ดำเนินการเรื่องดังกล่าวนี้อยู่แล้วตามกฎหมายภาษีที่ดินและโรงเรือน เพียงแต่กฎหมายใหม่ออกมาเพื่อให้เกิดการดำเนินงานที่รัดกุมมากขึ้น จัดเก็บได้อย่างถูกต้องและสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามเรามีความกังวลว่า ความรู้ในการปฏิบัติตามกฎหมายอาจจะยังไม่พร้อม ดังนั้นทางรัฐบาลจึงเน้นย้ำให้มีการจัดอบรมดังที่กล่าวไว้ข้างต้น ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการของบประมาณ คาดว่าจะสามารถดำเนินการในเร็วๆ นี้.