แคนดิเดต5พรรคจับมือทำสัญญา'ลานโพธิ์' ยันแก้รธน.แน่นอน
การเมือง
นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการจับมือกับใครนั้น ตนยืนยันว่าที่ผ่านมา พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยร่วมกับคนของพรรคพลังประชารัฐเลยและในครั้งนี้เรายืนยันว่าจะไม่จับมือพรรคพลังประชารัฐถ้ายังมีการสืบทอดอำนาจ และเราไม่ควรทรยศประชาชน ทั้งนี้ ตนขอถามว่าในการเลือกตั้งปี 2554 ตนเคยถามว่าพรรคเพื่อไทยมีนโยบายเรื่องนิรโทษกรรมหรือไม่ ซึ่งนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทยในตอนนั้น เคยบอกว่าไม่มี แต่แล้วก็มีขึ้นมา และครั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะยังมีนโยบายเรื่องนั้นอีกหรือไม่ และยังมีเรื่องเอานายทักษิณชินวัตร อดีตนายกฯ กลับบ้านอยู่หรือไม่
ด้านนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติพัฒนา กล่าวว่า ตนอยู่ในการเมืองมา 20 ปี เห็นการรัฐประหารมา 3 ครั้ง เพราะบางครั้งพรรคการเมืองไม่ช่วยกันบริหารจัดการให้ดี เมื่อมีปัญหาไม่ชอบจบกันในสภา มักนำปัญหาออกมานอกห้องประชุม และมีหลายครั้งที่พรรคการเมืองขาดความร่วมมือ ขาดมิตรภาพ จึงทำให้เสถียรภาพต่ำ ภูมิคุ้มกันจึงบกพร่องทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นมานี่จึงเป็นที่มาทำให้ ชพน.ต้องชู No Problem จะทำงานการเมืองแบบนักกีฬารู้แพ้-รู้ชนะ-รู้อภัย เล่นการเมืองแบบเพื่อนฝูงกัน ชพน.จะพยายามเป็นส่วนหนึ่งทำให้การเมืองมีเสถียรภาพ และจะไม่เป็นต้นเหตุให้การรัฐประหารขึ้นอีก ทั้งนี้ ตนเชื่อว่าจุดยืนของทุกพรรคคงเหมือนกัน ไม่มีใครอยากเห็นการรัฐประหาร ที่ผ่านมา เมื่อเกิดขึ้นในแต่ละครั้งมันกระทบความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจ เพราะไม่เป็นสากล เมื่อรัฐบาลไม่ประชาธิปไตยการลงทุนจะมีผลกระทบ ดังนั้นหากเราสร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ให้โรคแทรกซ้อนเกิดขึ้น ข้ออ้างต่างๆ ที่จะทำให้เกิดการรัฐประหารก็จะคงขาดความชอบธรรมจากประชาชน
ขณะที่ นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ หัวหน้าพรรคเศรษฐกิจใหม่ กล่าวว่า ถ้ามี 2-3 ปัจจัยเกิดขึ้น เราอาจมีรัฐประหารอีก รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ตนไม่ชอบเลย แต่การที่ตนลงเลือกตั้งครั้งนี้ คิดว่าถ้าได้มีโอกาสเข้าสภา เชื่อว่ารัฐธรรมนูญนี้จะต้องถูกแก้ในที่สุด เพราะมันจะไปต่อไม่ได้ ขณะที่รัฐประหารครั้งนี้ ตนเชื่อว่าจะเป็นสิ่งที่ประชาชนเข็ดไปอีกนาน ในการใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าในวันนี้มีจำนวนมากและตนเชื่อว่าในวันที่ 24 มี.ค. จะเกิดปรากฏการณ์ที่ประชาชนออกมาใช้สิทธิอย่างมืดฟ้ามัวดิน เพราะคนไม่มีจะกิน ถ้าได้รัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย แต่มีการกระทำทุจริต คนจะออกมาเดินประท้วงอีก ตนขอให้ทุกคนมีความสุข เดินหน้าการเลือกตั้งอย่างมีความสุข ตนไม่เอารัฐประหาร แต่ยืนยันว่าเลือกระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ระยะแรกมีข่าวว่าตนจะไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ ตนขอบอกเลยว่าไม่เคยคิดจะไปอยู่กับพรรคนั้นเลย ตนยืนยันว่าไม่มีนโยบายขึ้นค่าแรง ในทางเศรษฐศาสตร์ ค่าแรงควรอยู่ที่เดิม แต่ควรปรับลดค่าครองชีพ ลดราคาสินค้า ส่วนค่าไฟ เพราะถ้าปรับขึ้นค่าแรงไปเรื่อยๆ บรรดาเจ้าสัวในภาคธุรกิจไม่กี่สิบรายจะรวยขึ้น จะเกิดอัตราเงินเฟ้อตามมาอย่างแน่นอน วิธีและกลไกของตนนั้น คือเป็นการคืนเงินเข้ากระเป๋าโดยตรง คืนความสุขให้ประชาชนด้วย ลดค่าไฟ ลดราคาสินค้า ทั้งนี้ใครเป็นนายกฯ สามารถเอานโยบายของตนไปทำได้ ตนไม่หวง และถ้าพรรคของตนได้เข้าไป ขอกระทรวงเศรษฐกิจทั้งหมด ไม่ขอมากไป และศูนย์กลางของเอเชียต้องเกิด ได้เวลาของความมั่งคั่งแล้ว
ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การปฏิวัติทุกครั้งมักอ้างว่านักการเมืองโกงทุกครั้ง แต่จบด้วยการเห็นทหารที่รัฐประหารโกงด้วย ซึ่งวันนี้พรรคการเมืองต่างเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยและรัฐสภาอย่างแท้จริง ดังนั้นประชาชนจะเป็นผู้ตัดสิน อย่ากวักมือเรียกทหารเข้ามา เพราะที่ผ่านประเทศเมื่อไม่ชนะก็ไม่ศรัทธาระบอบประชาธิปไตย และเปิดให้คนนอกเข้ามาหาโอกาส ซึ่งหากรัฐประหารแล้วทำให้ประเทศเจริญ ประเทศไทยคงเจริญที่สุด เพราะรัฐประหารบ่อยที่สุด ดังนั้นเที่ยวนี้เราต้องทำให้บ้านเมืองสงบ บนพื้นฐานเศรษฐกิจที่ดี นอกจากนี้ผู้ที่จัดการเลือกตั้งต้องมีความบริสุทธิ์ยุติธรรม เพราะหากผลการเลือกตั้งออกมาไม่น่าเชื่อถือประเทศไทยคงไปต่อไม่ได้
คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวอีกว่า เชื่อว่าวันนี้ไม่มีใครอยากให้มีการรัฐประหารอีกแล้ว เพราะครั้งนี้ถือเป็นรัฐประหารที่ครบเครื่อง อย่างไรก็ตามการยึดอำนาจปี 2562 อาจมาในรูปแบบอื่น อยู่ในกลไกรัฐธรรมนูญ ผ่านส.ว. 250 คนที่ไม่ได้มาจากการเลือกของประชาชน ดังนั้นเป็นหน้าที่ของประชาชนในการออกมาต่อต้านการกลับมาของการสืบทอดอำนาจและพล.อ.ประยุทธ์ ด้วยวิถีทางประชาธิปไตย ในการไปเลือกตั้งวันที่ 24 มี.ค.นี้ ทั้งนี้ทุกพรรคการเมืองก็ต้องตอบให้ชัดว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ และพรรคของพล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่แต่ย้ำว่าเพื่อไทยชัดเจนว่าไม่สนับสนุน ขณะเดียวกันขอเรียกร้องให้ส.ว. 250 คน ฟังเสียงของประชาชน ไม่ใช่ฟังเสียงลุงที่เลือกมา และต้องเอาสิ่งต่างๆ ที่หมกเม็ดในรัฐธรรมนูญมาพูดคุยกัน ดังนั้นการแก้การรัฐประหารอย่างถาวร คือการแก้รัฐธรรมนูญและคนที่ออกมาทำรัฐประหารก็ไม่มีสิทธิออกกฎหมายนิรโทษกรรม นอกจากนี้นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น ยืนยันไม่ใช่การเกทับ แต่จะเติมเงินในกระเป๋าให้ประชาชน ซึ่งเพื่อไทยได้ทำมาแล้วเมื่อปี 55 ในการขึ้นค่าแรง 300 บาท ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ถามว่าในการเลือกตั้งปี 2554 พรรคเพื่อไทยมีนโยบายเรื่องนิรโทษกรรมหรือไม่ ซึ่งนายยงยุทธเคยบอกว่าไม่มี แล้วครั้งนี้พรรคเพื่อไทยจะยังมีนโยบายเรื่องนั้นอีกหรือไม่นั้น ตนไม่ใช่นายยงยุทธ เป็นคนละคนกัน และตอนนี้ไม่มี ยังไม่ได้ทำ ถือว่าไม่มีอะไร
ด้านนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ภายหลังปี 2535 มีวาระที่ก้าวหน้าหลายประเด็นที่ถูกบรรจุในรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 และมีการให้อำนาจกับประชาชนเสนอกฎหมาย แต่มีหนึ่งวาระที่หลงลืมไปคือการปฏิรูปกองทัพ ดังนั้นรอบนี้ลืมเรื่องนี้ไม่ได้ต้องหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจของคสช. ไม่ใช่แค่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. แต่ต้องหยุดยั้งระบอบคสช. ทั้งระบบ รวมถึงพรรคการเมืองที่สืบทอดอำนาจของคสช.ด้วย เมื่อล้มล้างได้แล้วต้องได้รัฐบาลใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยจากนั้นก็มีการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพื่อล้มผลผวงของการรัฐประหาร ขณะเดียวกันต้องจัดการกับวัฒนธรรมที่ปล่อยให้คนผิดลอยนวล ที่มีคนถูกยิงตายกลางถนน แต่กลับไม่มีคนรับผิดชอบ จึงควรตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูความจริงขึ้นมา
นายธนาธร กล่าวอีกว่า ทั้งนี้กุญแจที่ทำให้วุ่นวายไม่ได้อยู่ที่ประชาชน แต่อยู่ที่คนที่เอาอำนาจของประชาชนไปแล้วไม่คืนกลับมานั่นคือความวุ่นวาย อย่างไรก็ตามคสช. ได้วางแผนไว้แล้วในการสืบทอดอำนาจ ทั้งจากรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ และการตั้งส.ว. จึงอาจมาในรูปแบบตุลาการภิวัฒน์และการยุบพรรคที่เป็นปฏิปักษ์กับคสช. ดังนั้นองค์กรอิสระต้องยืนหยัดในหลักนิติรัฐให้ได้ ขณะเดียวกันการรัฐประหารที่ผ่านมาปัญหาคือ พรรคการเมืองไม่สู้ แต่ให้ประชาชนสู้แทน ทำให้ประชาชนตายฟรี ดังนั้นหากมีรัฐประหารอีกพรรคอนาคตใหม่จะสู้ จะยืนยันว่ารัฏฐาธิปัตย์ยังอยู่ที่สภาผู้แทนราษฎรไม่ใช่คณะรัฐประหาร ดูว่าจะยิงเราหรือไม่ ทั้งนี้เราต้องทำให้การรัฐประหารหมดสิ้นในยุคของเรา หากพรรคการเมืองยุคเก่าทำไม่ได้ พรรคการเมืองยุคใหม่ขอรับภารกิจมาทำต่อเอง เพื่อไม่ให้คนที่เกิดในปี 2560 ไม่ต้องเจอกับรัฐประหารอีกต่อไป นอกจากนี้ยืนยันว่าพรรคไม่เคยเสนอนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ แต่จะทำเรื่องรัฐสวัสดิการ
ทั้งนี้ในตอนท้ายมีนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ขอให้ทุกพรรคให้พันธะสัญญาหน้าลานโพธิ์ ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญและยุทธศาสตร์ชาติหรือไม่ ซึ่งนายมิ่งขวัญ กล่าวว่า ตนอยู่ฝั่งประชาธิปไตยตั้งแต่ต้น ดังนั้นหากรัฐธรรมนูญไม่ดีและไปไม่ได้ก็ต้องแก้ จึงขอให้สัญญา ด้านนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนให้สัญญาว่าจะแก้และต้องกล้าที่จะแก้ ขณะที่นายสุวัจน์ กล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญฉบับนี้ มีเรื่องการปฏิรูปการเมือง และอยู่บนพื้นฐานอะไรใหม่ๆ หลายเรื่อง แต่ก็สามารถปรับแก้ไขได้ในบางประเด็น ด้านคุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ขอรับสัญญาเต็มร้อย ส่วนนายธนาธร กล่าวว่า ต้องถามว่าแก้ทั้งฉบับหรือไม่ เพราะมีคนตีกินสัญญาว่าแก้ แต่ถึงเวลาแก้นิดหน่อย ซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2560 ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยและไม่ได้มาจากประชาชน จึงต้องแก้ทั้งฉบับ จากนั้นทุกคนได้จับมือกัน แสดงสัญลักษณ์ว่ารับสัญญา