'แรมโบ้-บังซุป'ซัดกันนัวบุกร้องกกต.สอบคดีซื้อเสียง
การเมือง
โดยนายสุภรณ์ กล่าวว่า กรณีที่นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ได้แถลงข่าวว่าตนมีส่วนเกี่ยวของกับการกระทำทุจริตใน อ.เสิงสาง และเป็นผู้วางแผนสร้างหลักฐาน จ้างวานให้นายดี สิมตะมะ เข้าให้การปรักปรำผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทยว่าซื้อเสียงนั้น ยืนยันว่าตนและพรรคพปชร.ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการดำเนินการใดๆ การจับกุมเป็นการดำเนินการของทหารและอาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) จึงต้องการให้ตำรวจสอบสวนเพื่อให้ได้ความจริง ซึ่งคดีดังกล่าวมีพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ลงพื้นที่ดูแลการสอบสวนด้วยตนเอง ซึ่งในคดีก็มีเอกสาร เงินและตัวผู้ต้องหาครบ ส่วนกรณีที่นายศุภชัย ให้สัมภาษณ์พาดพิงตนนั้น จะให้ฝ่ายกฎหมายเข้าไปตรวจสอบ หากพบว่ามีถ้อยคำใดที่ทำให้ตนและพรรคเสียหายตนก็จะดำเนินการตามกฎหมาย
เมื่อถามว่าได้รู้จักและสนิทสนมกับนายประยุทธ บัวประดิษฐ์ ที่ตกเป็นข่าวจ้างวานให้นายดี สิมตะมะ เข้าให้การปรักปรำผู้สมัครของพรรคภูมิใจไทย เป็นการส่วนตัวหรือไม่ นายสุภรณ์ กล่าวว่า นายประยุทธ์เป็นอดีตนายกฯอบต. เขาเป็นคนที่ชื่นชอบแนวคิดและอุดมการณ์ของตน แต่ยืนยันว่านายประยุทธ์ ไม่ใช่หัวคะแนน และไม่เคยได้รับการไหว้วานให้ไปทำอะไร แต่ยอมรับว่านายประยุทธ์ เป็นสมาชิกพรรคพปชร.จริง ส่วนข้อกล่าวหาเรื่องการเก็บบัตรประชาชนที่พรรคภูมิใจไทย ได้กล่าวหาตนนั้น ตนต้องการนำหลักฐานเข้าชี้แจงเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ แต่นัดคดี 2 ครั้งหลังสุด นายศุภชัย ได้แจ้งขอเลื่อนเข้าให้ปากคำทั้ง 2 ครั้ง
จากนั้นในเวลา 13.00 น.นายศุภชัย ใจสมุทร นายทะเบียนสมาชิกพรรคภูมิใจไทย ได้นำนายพรชัย เข้ายื่นหนังสือร้องเรียนกับ กกต.เพื่อขอให้ตรวจสอบคดีที่มีการกล่าวหาว่ามีการซื้อเสียง ในพื้นที่เขต 10 จ.นครราชสีมา โดยระบุว่า ในการสอบสวนของ สภ.เสิงสางนั้น นายดี ได้สารภาพว่ามีคนให้เงินมา 3,000 บาท เพื่อให้การปรักปรำ นายพรชัย ว่าจ่ายเงินซื้อเสียง ซึ่งไม่เป็นความจริง โดยคนที่จ่ายเงินคือนายประยุทธ หัวคะแนนของนายสุภรณ์ โดยคาดการณ์ว่านายสุภรณ์ จะปฏิเสธ ว่าไม่รู้จักกับนายประยุทธ ตนจึงนำภาพถ่ายของนายสุภรณ์ กับนายประยุทธ์ มายืนยันว่า ทั้ง 2 คนมีความสนิทสนมกันเป็นมือขวาตั้งแต่นายสุภรณ์ เป็นแกนนำนปช.อย่างไรก็ตามตนมีข้อกังวลว่าตำรวจมีการสรุปสำนวนสั่งฟ้องไปแล้วโดยไม่มีการขยายผลเบื้องหลังของนายประยุทธ ตนจึงเข้ามายื่นหนังสือขอให้กกต.สอบสวนให้เป็นที่สิ้นสุดว่านายสุภรณ์ และกรรมการบริหารพรรคพปชร. รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าวหรือไม่ ซึ่งหากเป็นความผิดตาม พ.ร.ป. ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ในเรื่องการใส่ร้ายป้ายสี ผิดทั้งคดีอาญา และถ้าพรรครู้เห็นก็จะถูกยุบพรรคด้วย
“ขณะนี้ทุกพรรคมีการแข่งขันกัน แต่เมื่อต้องแข่งกับพรรคที่มีอำนาจรัฐในมือ จึงต้องหวังพึ่งกกต. และขอฝากไปยังพรรคที่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ว่าอย่าใช้อำนาจเอาเปรียบในการเลือกตั้ง วันนี้ในการเลือกตั้งทุกพรรคมีการแข่งขันกันเต็มที่ อย่าพึ่งไปพูดถึงการรวมกันเพื่อจัดตั้งรัฐบาลเพราะเป็นเรื่องของอนาคต “นายศุภชัย กล่าว.