ข่าว'ตู่'มีเสียว'เพื่อชาติ'อาจเป็นดงงูเห่า - kachon.com

'ตู่'มีเสียว'เพื่อชาติ'อาจเป็นดงงูเห่า
การเมือง

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 30 มี.ค. ที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว นายจตุพร พรหมพันธุ์ ผู้ช่วยหาเสียงพรรคเพื่อชาติ แถลงข่าว ท่าที และสถานการณ์ทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ว่า ขอประกาศยุติบทบาทการเป็นผู้ช่วยหาเสียงของพรรคเพื่อชาติและกองเชียร์พรรคเพื่อชาติ ซึ่งตนได้แจ้งต่อหัวหน้าพรรคและรองหัวหน้าพรรคให้รู้แล้วตั้งแต่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามภารกิจของตนที่ประกาศไว้คือการรวบรวมเสียงฝั่งประชาธิปไตยให้ไปเทรวมในวันเลือกตั้ง ดังนั้นเมื่อพรรคเพื่อชาติแถลงจุดยืนอยู่ฝั่งประชาธิปไตย จึงถือว่าภารกิจตนเสร็จสิ้น ดังนั้นต่อไปนี้ตนจึงเหลือสถานะเดียวคือประธานนปช.

นายจตุพร กล่าวว่า การไปยื่นยุบพรรคเพื่อชาติของร.อ.ทรงกลด ชื่นชูผล หรือผู้กองปูเค็ม ในประเด็นครอบงำพรรคเพื่อชาตินั้น ถือเป็นหน้าที่ของกรรมการบริหารพรรคเพื่อชาติและฝ่ายกฎหมายที่ต้องไปชี้แจงต่อ กกต. อย่างไรก็ตามผู้กองปูเค็มตนก็ไม่ทราบสถานะที่ชัดเจนว่าพ้นตำแหน่งราชการแล้วหรือยัง ขณะที่เจ้าตัวประกาศว่าพ้นแล้ว แต่ทางการข่าวยังมีข้อสงสัยกันอยู่ ผู้กองปูเค็มคงไม่ทราบว่าตำแหน่งผู้ช่วยหาเสียงของตนนั้นได้รับรองจาก กกต.ดังนั้นการขึ้นเวทีปราศรัยจึงกระทำได้ ในลักษณะที่ต้องได้รับค่าจ้าง ซึ่งถ้าตนได้รับค่าจ้างดังกล่าวก็จะนำไปบริจาคให้กับมูลนิธิคนปัญญาอ่อน ซึ่งถือเป็นความตั้งใจของตน ดังนั้นประเด็นดังกล่าวจึงไม่ได้น่าวิตกแต่อย่างใด

ประธาน นปช. กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองปัจจุบันนี้ ตนต้องการเห็นการแสดงความรับผิดชอบของ กกต. เพราะการเลือกตั้ง2562 นี้ ทั้งจำนวนบัตรดีกับจำนวนคะแนนรวมของแต่ละพรรคนั้นมีความแตกต่างกันมากกว่า 2 ล้านคะแนน หรือแม้แต่จำนวนบัตรที่ใช้กับจำนวนผู้ใช้สิทธิ์ก็ยังมีความต่างกันเกือบ 2 ล้านเช่นกัน ถึงแม้จะมีการนำคำว่าบัตรเขย่งมาใช้ ซึ่งเกิดมาตนก็เพิ่งเคยได้ยิน ทั้งที่ในทางปฏิบัติแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่จะเกิดการรับบัตรแล้วไม่ไปใช้สิทธิ แต่กกต.อธิบายเพื่อที่จะให้รอดพ้นสิ้นข้อสงสัย แต่ยิ่งสร้างความสงสัยมากขึ้น เมื่อมีการสงสัยเรื่องคะแนนมาตั้งแต่ต้น และยังมีคะแนนที่งอกออกมาอีกทำให้เกิดปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล อีกทั้งมีความห่วงใยว่ารัฐธรรมนูญปี 2560 จะนำพาสู่วิกฤต คือพาการเมืองสู่ทางตัน เพราะทั้ง 2 ฝั่งทางการเมือง ไม่ว่าซีกใดได้เสียงข้างมากที่ไม่เด็ดขาดก็ไม่สามารถเดินต่อไปได้ทั้งคู่ นอกจากนี้ กกต.ยังมีวิธีการนับคะแนนหลากหลายรูปแบบที่จะไปทอนคะแนนของพรรคใหญ่ แล้วกระจายปาร์ตี้ลิสต์ให้กับพรรคเล็กๆ เพื่อให้เกิดปรากฎการณ์ว่ารัฐบาลของคณะสืบทอดอำนาจมีพรรคการเมืองเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการเมืองจะเดินต่อไปได้ในตอนนี้คือการจะต้องไปปล้นสมาชิกพรรคอื่นที่เรียกว่ากลุ่มงูเห่า ซึ่งตอนนี้ก็มีอยู่ 2 พรรคที่กำลังถูกกวาดต้อนโดยการต่อรองผลประโยชน์

“ผมได้คุยกับฝั่งสืบทอดอำนาจเขาระบุว่าเสียงที่ต้องสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ในสภาต้องได้ 270 ที่นั่ง ซึ่งถ้านับตอนนี้ไม่มีทางถึง ถึงแม้ว่าจะมีการแจกใบแดง เหลือง สัม ดำ ขาว ซึ่งเป็น 5 ใบที่มีอยู่ในการเลือกตั้งของไทย แต่ผลการเลือกตั้ง ก็จะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะถ้าแจกใบแดงให้เพื่อไทยก็ยังเหลืออนาคตใหม่ หรืออื่นๆ ในซีกประชาธิปไตย และถ้ามีเลือกตั้งซ่อมก็จะเกิดปรากฏการณ์รณรงค์หาเสียงเพื่อพรรคร่วมฝ่ายค้าน เพื่อพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งครั้งนี้อาจจะเป็นพรรคร่วมฝั่งประชาธิปไตย กับฝั่งสืบทอดอำนาจ ยิ่งจะทำให้เกิดความเสื่อมศรัทธามาที่สุดแล้วผมก็บอกไม่ได้ว่ามันจะนำไปสู่อะไร”นายจตุพร กล่าว

นายจตุพร กล่าวต่ออีกว่า ตอนนี้พรรคพลังประชารัฐ และพล.อ.ประยุทธ์ได้เปรียบทางการเมืองทุกกระบวนการ แล้วเมื่อประชาชนตัดสินมาด้วยเสียงก้ำกึ่งแบบนี้ แล้วหาจำเป็นต้องไปซื้อ ส.ส.จากพรรคอื่นแล้วได้เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งวันเริ่มต้นของการเป็นนายกฯ ครั้งใหม่นี้ จะเป็นวันจบวันสุดท้ายของพล.อ.ประยุทธ์เช่นเดียวกัน เพราะเมื่อมีเสียงก้ำกึ่งหมากกระดานเดินต่อไปไม่ได้ เพราะเสียงข้างมากจะต้องเสียไป 3 ที่นั่งคือประธานสภา และรองประธานสภา แล้วต้องเอาบุคคลภายนอก หรือการประชุมในสภาถ้าจะต้องนับจำนวนสมาชิกก็อาจทำให้ประชุมล่ม ประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ดังนั้นสมการทางการเมืองเมื่อตัวเลขก้ำกึ่งก็เป็นไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าเลือกการสร้างงูเห่าให้เกิดขึ้นก็จะนำไปสู่จุดจบ เพราะเป็นการสร้างวิกฤตศรัทธาอย่างรุนแรง ดังนั้นคนแรกที่จะต้องรับผิดชอบในขณะนี้คือ กกต. เพราะวิญญูชนอย่างพวกท่านย่อมรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นมาแล้ว โดยที่ตนจะไม่เรียกร้องให้ลาออก ผู้ที่ต้องรับผิดชอบต่อมาคือคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)เพราะเขียนรัฐธรรมนูญให้ประเทศไทยเดินสู่ทางตัน

นายจตุพร กล่าวอีกว่า สำหรับประเด็นเรื่องงูเห่าที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในช่วงนี้ ตนเองก็ยังไม่รู้ว่าในส่วนของสมาชิกพรรคเพื่อชาตินั้น มีถูกดึงไปบ้างหรือไม่ เสียวอยู่เหมือนกัน

ด้านนายอารี ไกรนรา รองหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ฐานะว่าที่ ส.ส.พรรคเพื่อชาติ กล่าวปฏิเสธถึงการถูกทาบทามและซื้อตัวเพื่อให้ไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ โดยยืนยันว่าไม่มีบุคคลใดของขั้วการเมืองอีกฝ่ายติดต่อเข้าหา และหากติดต่อมาจริงตนยืนยันว่าจะไม่ไปร่วมงาน เพราะตนมีอุดมกาณ์ชัดเจนต่อการร่วมต่อสู้กับภาคประชาชน

"ผมไม่ไปเป็นงูเห่า หรืออะไรทั้งนั้น ต่อให้เสนอเงิน 50 ล้านบาท ก็ไม่สนใจและยืนยันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น" นายอารี กล่าว.