นักวิชาการห่วงล่าชื่อถอดกกต. ขยายวงสู่ความรุนแรง
การเมือง
ทั้งนี้ ตนคิดว่าเรื่องกฎหมายไม่มีอะไรที่น่ากังวล แต่สิ่งที่น่ากังวลคือสถานการณ์ทางการเมืองมากกว่า เพราะในบรรดาผู้คนที่ลงชื่อถอดถอนกกต. แต่ถึงเวลาแล้วไม่สามารถดำเนินการได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม บรรดาผู้ที่ลงชื่ออาจจะพลิกเป็นขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม หรือม็อบได้ หากเกิดขึ้นโอกาสเกิดความวุ่นวายได้อีกครั้ง ทั้งนี้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาความขัดแย้งในบ้านเมืองได้หรือไม่นั้น ตนมองว่าการเลือกตั้งที่จะทำให้ความขัดแย้งลดลงหรือบรรเทาลง ต้องเป็นการเลือกตั้งที่ทุกฝ่ายยอมรับ แต่ ณ วันนี้ยังไม่มีการยอมรับร่วมกันเลย กกต.ยังถูกวิจารณ์ ทั้งเรื่องตัวเลขผู้มีสิทธิ 2 รอบไม่ตรงกัน บัตรเขย่ง เพิ่มทีหลังกว่า 4 ล้านเสียง รวมถึงสูตรการคำนวนวันนี้ก็ไม่ชัดว่าคืออะไร วันนี้อย่างน้อยมี 2 สูตร ที่กกต.ก็ไม่ได้ออกมาบอกว่าจะใช้หลักการใด ดังนั้นทั้งหมดนี้สะท้อนว่าคนไม่ยอมรับว่าการเลือกตั้งนี้จะเป็นข้อยุติ หรือเป็นทางออกให้สังคม
รศ.ดร.ยุทธพร กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดวันนี้ล้วนมีความเสี่ยงเกิดความรุนแรง แม้ว่าทุกฝ่ายจะเคยมีบทเรียนมาแล้วก็ตามว่าบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งจะเดินต่อไม่ได้ วันนี้ปัญหาอยู่ที่การยอมรับมากกว่า ซึ่งถ้าจะไล่เรียงกันจริงๆ คงเริ่มตั้งแต่ที่มาของรัฐธรรมนูญ กระบวนการร่าง และผลลัพธ์ที่ออกมาคือระบบการเลือกแบบจัดสรรปันส่วนผสมที่ทำให้มีปัญหาจำนวนส.ส.ออกมาไล่เลี่ยกัน จัดตั้งรัฐบาลลำบาก คะแนนบัญชีรายชื่อก็ยังไม่ชัดว่าตกลง กกต.จะตีความสูตรไหน สังคมก็เอากฎหมายมาตีความตามทัศนคติของตนเองจนมีความหลากหลาย
ทั้งนี้ ทางแก้เรื่องรัฐธรรมนูญคงเป็นเรื่องที่ยังไกล แต่ระยะอันใกล้ตนมองว่าประเด็นสำคัญสุด คือบรรดาว่าที่ ส.ส. รวมถึงสว.ต้องตระหนักว่าท่านเป็นผู้แทนคนไทย ไม่ว่าท่านจะสนับสนุน ชื่นชอบใครก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องยึดเจตจำนงค์ของประชาชนที่เลือกท่านมา อันดับที่สองควรมีการพูดคุยระหว่างพรรคการเมืองเพื่อหาทางออกร่วมกันแทนที่จะมาเอาชนะกันด้วยคณิตศาสตร์การเมือง ตัวเลขการตั้งรัฐบาลต่าง และสามหากจัดตั้งรัฐบาลได้ ในฐานะผู้แทนปวงชน ไม่ควรไปคิดว่าฝ่ายรัฐบาลต้องสนับสนุนรัฐบาลทั้งหมด ฝ่ายค้านก็ไม่ใช่ว่าจะค้านรัฐบาลทุกเรื่อง แต่เอาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับบ้านเมืองเป็นตัวตั้ง ส่วนประชาชนตนคิดว่าวันนี้ประชาชนได้ทำหน้าที่มาพอสมควรแล้ว ผ่านการเลือกตั้งและสะท้อนเจตจำนงออกมาในรูปแบบของส.ส. แต่ก็ต้องร่วมตรวจสอบว่าผู้แทนที่เลือกนั้นทำหน้าที่ดีเพียงใด ตอบเจตจำนงเพียงใด เชื่อว่าหากใช้กลไกอื่นๆ ได้ดีแล้วก็ไม่ควรหยิบกลไกบนท้องถนนมาใช้อีก เพราะจะเกิดวังวลความขัดแย้งอีก นักการเมืองในระบบและผู้เกี่ยวข้องว่าจะทำอย่างไรให้เป็นกลไกการเมืองแบบรัฐสภา ไม่ใช่นอกสภา
รศ.ดร.ยุทธพร กล่าวอีกว่า สำหรับโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลวันนี้คงมีอยู่ แต่ไม่ง่ายนักเพราะภายใต้สภาวะเสียง 2 ฝั่งปริ่มน้ำ หากจัดตั้งได้รัฐบาลที่เกิดขึ้นก็อาจไม่มีเสถียรภาพ 2. เสียงที่ปริ่มน้ำ สุดท้ายประกาศผลแล้วอาจจะเกิดการไม่ยอมรับอาจจะนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่ และ 3. มีโอกาสเกิดรัฐบาลแห่งชาติ ซึ่งในสถานการณ์แบบนี้มีความเป็นไปได้หมด เชื่อว่ายังไม่ถึงทางตัน เพราะสุดท้ายลักษณะการเมืองไทยประรีประนอมสูง แต่เป็นทางที่ขรุขระหน่อย.