สั่งรพ.ภาคเหนือแสตนบายรับผู้ป่วยจากฝุ่นจิ๋ว
การเมือง
นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ได้มอบหมายให้ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขเขต 1 ลงไปช่วยกำกับดูแล และมอบหมายให้อธิบดีกรมการแพทย์ร่วมกับรพ.นพรัตน์ราชธานี จัดคลินิกมลพิษที่รพ.นครพิงค์เชียงใหม่แล้ว ทั้งนี้ขอให้ประชาชนติดตามสถานการณ์ค่าฝุ่นละออง ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทางราชการ หากอยู่ในพื้นที่สีเหลือง สีส้ม สีแดง ควรงดกิจกรรมกลางแจ้ง กลุ่มเสี่ยงควรพักผ่อนอยู่ในบ้าน ปิดประตูหน้าต่างให้มิดชิด ถ้าออกนอกบ้านควรสวมหน้ากากอนามัย N95
ด้าน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัยได้มอบหมายให้ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ และ ศูนย์อนามัยที่ 2 พิษณุโลก ประสานการทำงานและข้อมูลสถานการณ์รายวันร่วมกับทางจังหวัด นอกจากนี้ยังให้ศูนย์อนามัยที่ 1 เชียงใหม่ จัดสถานที่ภายในศูนย์อนามัยเป็นห้องสะอาดปลอดฝุ่นด้วย เมื่อมีประชาชนกลุ่มเสี่ยงย้ายเข้ามาเจ้าหน้าที่ต้องคัดกรองผู้ที่มีอาการผิดปกติเบื้องต้น เช่น อาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด หรือมีเสมหะ เจ็บคอ คอแดง และน้ำมูกใสไหล เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคไปสู่ผู้อื่น ทั้งนี้การทำห้องสะอาดปลอดฝุ่น สามารถทำได้ทุกที่ โดยหากเป็นห้องธรรมดา ไม่มีเครื่องปรับอากาศ ควรเลือกห้องที่มีประตู หน้าต่างน้อย ปิดให้มิดชิดทำความสะอาดด้วยผ้าชุบน้ำหมาดๆ ไม่ควรใช้ไม้กวาดหรือเครื่องดูดฝุ่นเพราะจะทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย ไม่ควรทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดฝุ่นหรือควันเพิ่มขึ้น เช่น จุดเทียน จุดธูป สูบบุหรี่ หรือกิจกรรมอื่นเป็นต้น สำหรับห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ ควรตรวจสอบและทำความสะอาดแผ่นกรองทุกเดือน ล้างเครื่องปรับอากาศอย่างน้อย 6 เดือนต่อครั้ง
วันเดียวกันนี้ นพ.สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค พร้อมคณะผู้เชี่ยวชาญจากกรมควบคุมโรค ลงพื้นที่เชียงใหม่เพื่อติดตามสถานการณ์ปัญหาฝุ่นละออง พร้อมดำเนินมาตรการแก้ไขปัญหาหมอกควันร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ โดยนพ.สุวรรณชัย กล่าวว่า กรมฯ ได้ส่งทีมเฝ้าระวังสอบสวนเคลื่อนที่เร็ว (SRRT) เพื่อดูแลประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากหมอกควัน รวมถึงสนับสนุนวัสดุ เช่น หน้ากากอนามัย และยาแก้แพ้ต่างๆ แก่หน่วยงานเครือข่ายในพื้นที่แล้ว ทั้งนี้ ปัญหาหมอกจะส่งผลให้มีความเสี่ยงป่วยจาก 4 กลุ่มโรค คือ 1.โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น เหนื่อยง่าย หัวใจเต้นเร็ว 2.โรคระบบทางเดินหายใจ เช่น คัดจมูก น้ำมูกไหล แสบจมูกและลำคอ 3.โรคผิวหนังอักเสบ เช่น อาการคันตามร่างกาย มีผื่นแดงตามร่างกาย และ 4.โรคตาอักเสบ เช่น อาการแสบหรือคันตา ตาแดง น้ำตาไหล และมองภาพไม่ค่อยชัด นอกจากนี้ กลุ่มเสี่ยงยังรวมไปถึงเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ที่มีโรคประจำตัวด้วยอาจทำให้เจ็บป่วยหรือรุนแรงมากกว่าประชาชนทั่วไป หากมีข้อสงสัยข้อมูลได้ที่สายด่วน 1422.