"กฤษฎา"สั่งทูตกษ.สำรวจตลาดจีน ทำโควตาพื้นที่ปลูกทุเรียน
การเมือง
“ได้สั่งการให้ทูตเกษตร ร่วมกับทูตพาณิชย์ สำรวจตลาดความต้องการบริโภคของคนจีน เพราะเป็นตลาดใหญ่สุดเวลานี้ เพื่อนำมาวางระบบ กำหนดแผนโควตาปลูกทุเรียน ที่สมดุล ไม่เกิดปัญหาล้นตลาด ราคาตก โดยให้ดูยอดที่ส่งไปปีเท่าไหร่ คนจีนบริโภคทุเรียน คนละกี่กก.แนวโน้มตลาดจีน และหาทางเปิดตลาดใหม่ๆ เพราะขณะนี้ส่งทุเรียนไปจีน 80% เป็นสิ่งน่าห่วงว่าไปผูกติดกับตลาดเดียวเช่นยางพารา ต้องนำมาวิเคราะห์ให้ชัดเจนโดยเร็ว จะไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอย ยางพารา และอื่นๆ ที่รัฐใช้งบประมาณช่วยเหลือต่างๆไปมากแต่ช่วยได้เพียงเฉพาะหน้า ทั้งนี้จะปรับเปลี่ยนเชิงโครงสร้างเกษตรได้ ต้องนำทั้งปัญหาและแนวทางรับมือ วางแผนการผลิต ช่องทางตลาด อย่างรอบด้านทุกฤดูกาล สามารถแจ้งเตือนเกษตรกรได้ทันการณ์ ซึ่งจะวางระบบใช้แนวทางนี้กับทำเกษตรทุกชนิด เช่น ทำนา หากทำปีละครั้ง ราคาข้าวจะไม่หลุดตันละหมื่นบาทแน่ แต่ชาวนากลับทำถึงสามรอบ”นายกฤษฏา
ด้านนายสำราญ สาราบรรณ์ อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่าตอนนี้ทุเรียนปลูก9แสนไร่ ทางกระทรวงพาณิชย์ ได้วิเคราะห์ตลาดจีน ยังมีความต้องการ แต่ส่งออกไปจีนถึง80% เป็นที่กังวล น่าจะเปิดตลาดมากกว่านี้ หากมีการปลูกทุเรียนขึ้นล้านกว่าไร่ ต้องเฝ้าระวังให้มากขึ้น ตนได้สอบถามกระทรวงพาณิชย์ ยังไม่ตอบมา ว่าจะต้องปลูกเท่าไหร่ จึงสมดุลตลาดและราคาไม่ตก สิ่งสำคัญมีแนวโน้มส่งออกประมาณการณ์ล่วงหน้า มีกี่ประเทศที่จะเปิดส่งออกได้เพิ่ม ส่งมาให้กระทรวงเกษตรฯด้วย
นอกจากนี้นายกฤษฏา ยังเปิดเผยภายหลังเดินทางมอบนโยบายวิสาหกิจการเกษตรแปลงใหญ่ เป็นแปลงต้นแบบพื้นที่ส.ป.ก.จ.ต.ไทรทอง อ.ไชยบุรี จ.สุราษฏร์ธานี ว่าพื้นที่นี้ยึดคืนโดยมาตรา44 จากบริษัทอุตสาหกรรมน้ำปาล์ม เนื้อที่กว่า7.1 พันไร่ เนื้อที่อยู่ระหว่างจ.สุราษฏร์ และจ.กระบี่โดยระหว่างนี้ยังอยู่ขั้นตอนการฟ้องขับไล่กว่า1 พันไร่ ซึ่งขณะนี้เตรียมจัดพื้นที่ให้ผู้ยากไร้ที่ดินทำกินตามรูปแบบของคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ(คทช.)โดยเดือนพ.ค.นี้ขยายผล 12 แปลงต้นแบบเกษตรครบวงจร ในพื้นที่ทำเกษตรเหมาะสมและพื้นที่ที่ส.ป.ก.ทั่วประเทศให้การเพิ่มประสิทธิภาพพื้นที่เกษตร และต่อยอดอาชีพยกระดับรายได้เกษตรกรทุกพื้นที่
ด้านนายวิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการสำนักงานปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม(ส.ป.ก.)กล่าวว่าบริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม ได้ฟ้องโต้แย้งสิทธิอยู่อาศัยมาก่อนในพื้นที่กว่า 1 พันไร่ ขณะนี้รอศาลสั่งเท่านั้น เพราะเป็นพื้นที่ของส.ป.ก.ขณะนี้ได้รังวัดในส่วนพื้นที่ไม่มีโต้แย้งสิทธิ ให้กับเกษตรกรและผู้ยากไร้ ครอบครัวละ6ไร่ โดยแปลงแรก 720 ไร่ แปลงที่สอง 1,160ไร่ และแปลงรอยต่อสองจังหวัด โดยจัดคนลงแล้ว 121ราย
“จัดรูปแบบเป็นสหกรณ์เช่าที่ดินส.ป.ก.นำมาจัดสรรให้เกษตรกรทำกิน ไม่ได้เป็นเอกสารสิทธิ มาพัฒนาตามนโยบาย รมว.เกษตรฯจัดเกษตรแปลงใหญ่ โดยทำสัญญา(คอนแทรกฟาร์มมิ่ง)กับสหกรณ์บ้านนาสาร ทำแปลงกล้วยหอมทอง 5หมื่นหน่อต่อปี คุณภาพส่งออก ในพื้นที่ 125ไร่ จะมีรายได้ 40กว่าล้านบาทต่อปี รับซื้อประกันราคา 13.50 กก.ซี่งสหกรณ์เข้ามาดูแลเป็นพี่เลี้ยงให้ได้ผลผลิตที่ดีตรงตามตลาดต้องการ ตั้งแต่ลงแปลง จนเก็บเกี่ยว 8-10เดือน เก็บได้ผลผลิตรายได้เกษตรกรรับปีละ4.1หมื่นบาทต่อไร่ รวมทั้งสหกรณ์ จะทำสัญญาให้กับเกษตรกร ปลูกมะละกอฮอนแลนด์แปลงใหญ่ ส่งโรงแรม โรงพยาบาล และห้างร้าน โดยจะนำโมเดลเกษตรครบวงจรของรมว.กฤษฏา ไปขยายผลทั่วประเทศ”นายวิณะโรจน์ กล่าว
ทั้งนี้จากกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดกระบี่ ทำหนังสือถึง นายกฤษฎา บุญราช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อให้สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดกระบี่เข้ารังวัดที่ดินสวนปาล์ม ที่บริษัท อุตสาหกรรมน้ำมันปาล์ม จำกัด (มหาชน) ว่า ผู้ว่าฯ กระบี่ ได้ขอให้ ส.ป.ก.ส่งเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.ไปรังวัดแนวเขตให้ชัดเจน เพื่อจะนำที่ดินมาจัดให้ประชาชนเข้าทำกิน โดยทางจังหวัดได้ทำหนังสือมาเมื่อเดือน ม.ค.เนื่องจากขณะนี้เกิดความขัดแย้งในพื้นที่ปะทะกันอย่างมาก ควรจะเร่งนำมาจัดทำคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ 36/2559 ที่นายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้า คสช.ได้ใช้มาตรา 44 เข้ายึดกว่า 7 พันไร่ เป็นแปลงที่ No 601 โดย ส.ป.ก.ได้มีหนังสือตอบถึงผู้ว่าฯ เพื่อให้ประสานฝ่ายความมั่นคง และ ส.ป.ก.จังหวัด เพื่อเข้าพื้นที่ เนื่องจากทางเอกชนก็มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย และที่ผ่านมามีการปะทะเสียชีวิตกันมาแล้ว
สำหรับที่ดินที่บริษัท สหอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มฯ บุกรุกครอบครองทำประโยชน์นั้น กรมป่าไม้ระบุชัดว่าครอบครองโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จำนวน 7,186-3-38 ไร่ พื้นที่ ต.กระบี่น้อย อ.เมือง จ.กระบี่ 1 แปลง และอีก 2 แปลง ตั้งแต่ปี 2524 และต่อมาที่ดินแปลงดังกล่าว กรมป่าไม้มอบให้ ส.ป.ก.เพื่อนำมาจัดให้ประชาชน แต่ไม่สามารถเข้าดำเนินการได้.