กมธ.การเมืองรับเลือกตั้งส.ว.ไม่ตอบโจทย์การทำงาน
การเมือง

นายกล้านรงค์ กล่าวช่วงหนึ่งว่า การทำงานของกรรมาธิการฯ ที่ผ่านมาเป็นลักษณะของกัลยาณมิตร ผ่านการสอบถามความเห็นและทำงานด้วยความสมัครใจ ระมัดระวังการนำเสนอความเห็นเพื่อไม่ให้ฝ่ายใดนำความเห็นของกรรมาธิการฯ ไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง ทั้งนี้ ได้ลงพื้นที่ 33 จังหวัด และจัดเวทีรวมทั้งสิ้น 33 เวที ซึ่งเป็นการรับฟังความเห็นจากคนในพื้นที่ โดยเฉพาะการทำงานของหน่วยงานและผู้บริหารท้องถิ่น ขณะที่การติดตามการทำงานขององค์กรอิสระ เช่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เป็นเพียงการติดตามการทำงาน แต่ไม่ใช่การแทรกแซงการทำงาน อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่ากฎหมายที่สนช. พิจารณามีหน่วยงานที่รับกฎหมายไปปฏิบัติแปลความการใช้อำนาจไปในทางที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย แต่กรณีดังกล่าวสามารถตรวจสอบและประเมินประสิทธิภาพได้ตามที่รัฐธรรมนูญมาตรา77 กำหนดไว้
ด้านนายภัทรศักดิ์ วรรณแสง อนุกรรมาธิการด้านการเมือง กล่าวถึงผลการศึกษาว่าด้วยที่มาของ ส.ว.ว่า การเลือกตั้งส.ว.ที่มาจากจังหวัดต่างๆ นั้นไม่ตอบโจทย์ด้านการทำงานแบบภาพรวม เนื่องจากการเลือกตั้งส.ว.ที่ระบุให้ใช้พื้นที่จังหวัดนั้นอาจเข้าไม่ถึง ทั้งนี้ อนุกรรมาธิการฯ เคยเสนอให้ส.ว.มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม โดยให้มีคณะพิจารณา ลักษณะคล้ายกับคณะกรรมการ โดยมีข้าราชการในพื้นที่ อาทิ ประธานศาล และอธิการบดีสถาบันการศึกษา มีส่วนร่วมในการพิจารณา ขณะที่การปฏิรูปการเมืองและการใช้กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญนั้น การนำข้อกฎหมายไปสู่องค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญ เป็นเรื่องปกติในช่วงเปลี่ยนถ่ายบ้านเมืองที่มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เชื่อว่าหลังจากองค์กรอิสระและศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจะมีข้อยุติ และประเทศก้าวไปข้างหน้าได้ อย่างไรก็ตาม อนุกรรมาธิการฯ คาดไว้อยู่แล้วว่าจะเกิดกรณีตีความกฎหมาย แต่ทุกฝ่ายต้องยอมรับกติกา การร่างกฎหมายไม่สามารถทำให้สมบูรณ์ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่เช่นนั้นนักกฎหมายจะตกงานเพราะไม่มีเรื่องต้องให้พิจารณา ซึ่งหลักการตีความรัฐธรรมนูญไม่ต้องถามจากคนร่างกฎหมายก็ได้ เพราะตีความเจตนารมณ์ของผู้ร่างกฎหมายไม่สำคัญเท่ากับเจตนารมณ์ของกฎหมาย ส่วนที่มีหลายฝ่ายมองว่ารัฐธรรมนูญถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกลั่นแกล้งทางการเมืองนั้น ตนมองว่าไม่เป็นเช่นนั้น เพราะกฎหมายที่ออกใหม่ย่อมมีปัญหาได้ แต่ปัญหาตีความจะจบเมื่อนำเรื่องไปสู่ศาล
ขณะที่นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน ประธานอนุกรรมาธิการด้านระบบการเลือกตั้งและพรรคการเมือง กล่าวว่า การทำงานของอนุกรรมาธิการฯ ที่เป็นชิ้นเป็นอันมีเพียงเรื่องการรายงานการเลือกตั้งที่สุจริตและเที่ยงธรรม ซึ่งได้นำเสนอต่อที่ประชุมสนช.เพื่อพิจารณา ขณะที่หลายเรื่องที่ อนุกรรมาธิการฯ ศึกษายังทำไม่แล้วเสร็จเพราะใกล้หมดเวลาทำงานของสนช. สำหรับประเด็นปัญหาของกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นว่าด้วยสูตรคำนวณเพื่อหาจำนวนส.ส.บัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองหลังการเลือกตั้งนั้น ตนมองว่ากฎหมายที่ถูกบังคับใช้ฉบับใหม่หากพิจารณาเนื้อหาต้องพิจารณาจากถ้อยคำและการตีความ ผ่านการสอบถามผู้ร่างกฎหมายแทนการวิเคราะห์ถ้อยคำเท่านั้น.