ข่าว'จตุพร'มองเส้นทางการเมือง'บิ๊กตู่'คงหมดสภาพในวันไร้อาวุธ ม.44 - kachon.com

'จตุพร'มองเส้นทางการเมือง'บิ๊กตู่'คงหมดสภาพในวันไร้อาวุธ ม.44
การเมือง

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 9 พ.ค. ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา มูลนิธิพฤษภาประชาธรรม และคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 ได้มีการจัดเสวนา "แสงสว่างการเมืองไทย ทางเลือกประชาชน ยุคเปลี่ยนผ่านเผด็จการสู่ประชาธิปไตย" โดยมี รศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคม และสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย และ นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เข้าร่วมเสวนา โดยนายจตุพร กล่าวตอนหนึ่งว่า ที่ผ่านมาตนพูดเรื่องสว่าง 2 อย่างคือ สว่างจนมองไม่เห็น กับมืดจนมองไม่เห็น แต่ในความมืดก็ยังสามารถมองเห็นได้มากกว่า ส่วนการเมืองไทยวันนี้อยู่ในสภาพการณ์ที่เรียกว่าสว่างจนมองไม่เห็น เพราะการเลือกตั้งไม่ว่าจะเลือกใครก็ตามก็จะได้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกฯ ยิ่งกว่าหวยล็อก เพราะการเลือกตั้งออกแบบเพื่อคนเดียว หลักการคิดคำนวณปาตี้ลิสต์นั้น ตนพยายามมองอยางไม่อคติ เหตุที่ไม่ได้วางการคำนวณตั้งแต่ต้นเพราะต้องการรอว่าจะคำนวณแบบใดถึงจะชนะ วันนี้จำนวนที่นั่งส.ส.ที่ปริ่มน้ำนั้น อาจจะทำให้บริหารบ้านเมืองไม่ได้ อย่างไรก็ตาม จากนี้หลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ เข้าสู่สภาจะถูกปลดอาวุธ เป็นคนธรรมดาที่ไม่มีมาตรา 44 จากที่ผ่านมาเคยพูดคนเดียวไม่มีใครขัด จากนี้พล.อ.ประยุทธ์ จะเจอวิบากกรรมมาก จะถูกอภิปรายแบบเปิดเปลือยโดยเฉพาะสิ่งต่างๆที่เคยทำงานตลอด 5 ปี

"เส้นทางเดินของพล.อ.ประยุทธ์ รอบนี้แค่ 3 เดือนก็เหนื่อยมาก 6 เดือนคือหมดสภาพ ถ้าเป็นผมจะยุติบุทบาทตอนที่ยังมีเสื้อผ้า เพราะ 3-6 เดือนนี้ เขาจะอภิปลายแบบเปลือยหมด ซึ่ง 5 ปี ของพล.อ.ประยุทธ์ ต้องยอมรับว่าสังคมไทยเบื่อง่าย ไม่ได้อยู่ในช่วงขาขึ้น เขามาตอนแรกเหมือนอัศวินม้าขาว แต่ตอนกลับลาขาวยังเป็นไม่ได้ ดังนั้นเมื่ออยากเป็นแบบนี้ก็เชิญเลย ผมก็อยากเห็นเหมือนกัน การเมืองจากนี้เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะเปิดทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างไรก็ตามพล.อ.ประยุทธ์อย่าเพิ่งเปลี่ยนใจก็แล้วกัน"นายจตุพร กล่าว

รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า บริบทการเมืองปัจจุบันมีความซับซ้อนและไม่แน่นอนสูง อยู่ในภาวะที่กำลังจะปรับเปลี่ยนดุลยภาพใหม่ของอำนาจทางการเมือง ซึ่งมี 4 ลักษณะสำคัญ คือ 1. การแข่งขันทางอำนาจของกลุ่มพลังต่างๆ ที่มาจากหลายแหล่ง ที่พยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองไทย ทั้งอำนาจรัฐสภา จารีตประเพณี อำนาจทางสังคม อำนาจโซเชียลมีเดีย เป็นต้น 2.มีการปะทุของปัญหาที่ถูกกดทับตลอด 5 ปี ซึ่งจะมีส่วนทำให้สถานการณ์ทางการเมืองจากนี้มีความเข้มข้นมากขึ้น และเปราะบาง เพราะต้องยอมรับว่า 5 ปีที่ผ่านมาไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง คอรัปชั่นไม่ได้หายไป แถมมีผลต่อเศรษฐกิจ ความเชื่อของสังคม มีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น การออกกฎหมายที่มีแนวโน้มส่งเสริมกลุ่มทุน กดทับชาวบ้านเป็นหลัก 3.มีความเปราะบางของระบอบรัฐสภา เพราะมีการรวมศูนย์อำนาจ ผ่านการออกกฎหมายต่างๆ ลิดรอนสิทธิประชาชนหลายๆ ด้าน กระชับให้มาอยู่ในระบบราชการ สิ่งเหล่านี้รอวันปะทุขึ้นมา เป็นสถานการณ์ที่ทำให้การเมืองระบบรัฐสภาซึ่งเปราะบางอยู่แล้วยิ่งเปราะบางไปกันใหญ่ และ 4. ความไร้เสถียรภาพของรัฐบาล


"ปกติก็เปราะจากโครงสร้างรัฐธรรมนูญ ที่มีการทำประชามติแต่ซ่อนบางคำถามเอาไว้ กำหนดการเลือกตั้งพิศดารทำให้บางพรรคมี 3 หมื่นกว่าคะแนน ก็ได้เป็น ส.ส. ซึ่งไปรอนสิทธิพรรคที่ได้คะแนนเท่าคะแนนมาตรฐานที่กลับไม่ได้คะแนนส.ส. ทำให้คนที่ไปนั่งในสภาเกิดปัญหาความชอบธรรม และเป็นเหตุให้สภามีความเปราะบาง นอกจากนี้ ผมตั้งความหวังว่าอยากเห็นพรรคการเมืองทุกพรรคร่วมกับภาคประชาชนจัดตั้งคณะกรรมการพัฒนานโบายสาธารณะ ภายใน 1 ปี ให้กำหนดนโยบายสำคัญและร่วมกันขับเคลื่อนให้เป็นจริง สิ่งไหนที่ควรเป็นกฎหมายก็ให้ทำ ซึ่งจะทำให้ระบบรัฐสภาแข็งแกร่งขึ้น เป็นการสร้างการเมืองใหม่ แทนที่จะไปต่อรองอำนาจกันเพียงอย่างเดียว"รศ.ดร.พิชาย กล่าว

ด้านนายศรีสุวรรณ กล่าวว่า สังคมไทยผิดหวังอย่างมากจากเดิมที่คิดว่าจะเข้ามาปฏิรูปหลังจากนักการสร้างความเละเทะเอาไว้มาก ช่วงแรกที่เข้ามา คำสั่งคสช.เป็นที่พอใจของประชาชน และคิดว่าพล.อ.ประยุทธ์ ควรเข้ามาระยะสั้นแล้วถอยออกไป ไม่น่าเกิน 2 ปี แต่ยิ่งนานก็เห็นว่าไม่ได้เข้ามาเพื่อต้องการปฏิรูป แม้ตอนนี้จะมีการเลือกที่หลายคนคาดหวังจะมีรัฐบาลใหม่มาแทนพล.อ.ประยุทธ์ ถึงแม้จะยังเป็นนายกฯ ที่ส่งต่ออำนาจจากมือซ้าย มามือขวา แต่ก็ยังดีที่ไม่มีมาตรา 44 อีก แต่ถึงเป็นเช่นนั้นข้างกายพล.อ.ประยุทธ์ ก็ยังเต็มไปด้วยสีเขียว ดังนั้นตนคงไม่หวังพึ่งนักการเมือง แต่ขอพึ่งประชาชนออกมาปกป้องประชาธิปไตย ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเอง

นายสาวิทย์ กล่าวว่า การเลือกตั้งอย่างเดียวไม่ใช่ระชาธิปไตย แต่การเข้ามาแล้วต้องมาแก้ปัญหาต่างๆ ของบ้านเมืองตามกระบวนการ รวมถึงปัญหาปากท้องของประชาชนด้วย ฝากถึงนักการเมืองให้สรุปบทเรียนเพื่อนำไปทำงานกันตามกระบวนการของรัฐสภา อย่าให้อำนาจพิเศษเข้ามา กฎหมายที่เป็นปัญหาก็ต้องปรับปรุง ที่ผ่านมาปัญหาต่างๆ  ไม่ได้เกิดจากประชาชน แต่เกิดจากการทำงานที่ไร้ประสิทธิภาพ เราไม่ต้องการให้เกิดเหตุการประชาชนออกมาเคลื่อนไหวอีก ย้ำว่าเราไม่ต้องการเห็นความรุนแรง แต่ต้องการเห็นการเปลี่ยนผ่านที่แท้จริง.