ข่าวอภ.ต่อยอดวิจัยกัญชายับยั้ง5เซลล์มะเร็ง-โรคผิวหนัง  - kachon.com

อภ.ต่อยอดวิจัยกัญชายับยั้ง5เซลล์มะเร็ง-โรคผิวหนัง 
การเมือง

photodune-2043745-college-student-s
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่กรมการแพทย์ นพ.โสภณ เมฆธน ประธานบอร์ดองค์การเภสัชกรรม (อภ.) เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ ระหว่าง กรมการแพทย์ กับ อภ. โดย นพ.โสภณ กล่าวภายหลังว่า สารสกัดกัญชาทางการแพทย์ของ อภ.น่าจะได้ในช่วงเดือน ก.ค.- ส.ค.นี้ ดังนั้นหาก อภ. และกรมการแพทย์ได้มีการร่วมมือกันในการพัฒนาระบบ การนำสารสกัดกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์ได้ จะเกิดประโยชน์กับประชาชน โดยเบื้องต้นต้องดูว่ากรมการแพทย์ต้องการสารสกัดชนิดใดและไปรักษาในโรคใด ส่วน อภ. ก็จะเป็นผู้ผลิตตามความต้องการ นอกจากนี้จะมีการร่วมมือกันศึกษาความคงสภาพรวมถึงการจัดการทางการแพทย์ด้วยเทคนิคต่างๆ ต่อไปด้วย ทั้งนี้พบว่ากัญชามีสารแคนนาบินอยด์ที่มีออกฤทธิ์ยับยั้ง กระตุ้น ช่วยปรับสภาวะสมดุลของระบบประสาท ฮอร์โมนภูมิคุ้มกัน และระบบอื่นๆของร่างกาย เพื่อให้การใช้กัญชาทางการแพทย์ ให้มีประสิทธิผลประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาบรรเทาอาการได้

นพ.วิฑูรย์ กล่าวว่า อภ.ได้มีการปลูกและวิจัยสารสกัดน้ำมันกัญชาชนิดหยดใต้ลิ้น 3 สูตร สูตรที่ 1 THC สูงกว่า CBD สูตรที่ 2 CBD สูงกว่า THC และสูตรที่ 3 สัดส่วน THC และ CBD 1 ต่อ 1 สำหรับหยดใต้ลิ้น ขนาด 5 มิลลิลิตร โดยก.ค.นี้จะได้ 2,500 ขวด ทั้งนี้ในปีแรกทาง อภ.มีการปลูกกัญชาที่สามารถให้ผลิตปี 4 รอบ รอบละ 2,500 ขวด แต่ขยายการปลูกระยะระยะที่ 2 บนพื้นที่ 1 พันไร่ ซึ่งจะเพิ่มการกำลังการผลิตสาสกัดกัญชาได้ถึง 8 เท่า นอกจากนี้ยังมีแผนรับซื้อกัญชาแห้งจากกลุ่มวิสาหกิจชุมชนที่ร่วมกันปลูกกัญชาที่ได้มาตรฐานตามที่ อย.กำหนด ซึ่งในส่วนยังไม่รู้ปริมาณที่ชัดเจน  ส่วนเรื่องการนำเข้ากัญชาจากต่างประเทศเป็นมาตรการสุดท้ายกรณีที่มีความต้องการมากจริงๆ เพราะในจำนวนผู้ที่เข้าร่วมลงทะเบียนนิรโทษกรรมจำนวนหนึ่งต้องการใช้ แต่ก็ต้องยอมรับว่ากัญชาสายพันธุ์ไทยมีสาร THC สูงกว่า CBD ถึง 8 เท่า ซึ่งยังไม่เหมาะกับการใช้ จึงไม่ตอบโจทย์การใช้ได้อย่างเพียงพอ  ต้องมีการนำเข้า แต่ก็ต้องหาข้อมูลให้ดี

นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ ผอ.สถาบันมะเร็งแห่งชาติ กล่าวว่า ในส่วนของกลุ่มที่ 3 สารสกัดกัญชาอาจมีประโยชน์ในการรักษา แต่ยังขาดข้อมูลจากงานวิจัยสนับสนุนที่ชัดเจนเพียงพอในด้านความปลอดภัยและประสิทธิผล ดังนั้นสถาบันมะเร็งจึงเตรียมนำสารสกัดน้ำมันกัญชาที่ได้จาก  อภ.มาศึกษาประสิทธิภาพในการยับยั้งเซลล์มะเร็ง ทำลายเซลล์มะเร็งชนิดต่างๆได้หรือไม่ โดยมี นพ.สมชาย ธนะสิทธิชัย รองผอ. สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เป็นหัวหน้าทีมวิจัย ซึ่งจะเน้นโรคมะเร็งที่พบมากในประเทศไทย คือมะเร็งตับ มะเร็งปอด มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูก ภายเดือน ส.ค.จะเริ่มทดลองในระดับเซลล์ ซึ่งจะจำแนกเซลล์มะเร็งแต่ละชนิด และนำการหยอดสารสกัดน้ำมันกัญชาเพื่อดูว่ามีการตอบสนองหรือไม่ หากมีการตอบสนองก็จะมีการเดินหน้าศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลอง และในมนุษย์จำนวน 20 ราย พร้อมกันไปเลยเพื่อไม่ให้ช้าเกินไป หาได้ผลถึงจะมีการขยายไปยังรพ.มะเร็งอื่นๆ ต่อไป

“ขอย้ำว่าตอนนี้ยังไม่มีการนำกัญชามาใช้ในการรักษามะเร็ง แต่ก็ต้องยอมรับว่ามีผู้ป่วยส่วนหนึ่งที่เข้าใจอย่างนั้น จนทิ้งการรักษาไปพึ่งสารสกัดน้ำมันกัญชา แต่จากรายงานอย่างไม่เป็นทางการพบว่ามีผู้ป่วยที่กลับเข้ามาหาเราเพื่อรักษาทุกวัน ด้วยอาการซึม ไม่รู้สึกตัว จึงขอเตือนผู้ป่วยให้เข้าใจด้วยว่านอกจากน้ำมันกัญชาจากใต้ดินที่เราไม่รู้ว่ามีคุณภาพอย่างไร ขนาดซื้อจากเจ้าเดียวกันคุณภาพยังแตกต่างกัน ยังมีประเด็นร่างกายผู้ป่วยแต่ละคนไม่เหมือนกันต้องการสาร ต้องการปริมาณที่แตกต่างกันด้วย จึงเป็นที่มาว่าเราต้องมีการศึกษาเรื่องนี้” นพ.วีรวุฒิ กล่าว

นพ.เวสารัช เวสสโกวิท ที่ปรึกษา ผอ.ด้านวิชาการ สถาบันโรคผิวหนัง กล่าวว่า สำหรับโรคทางผิวหนังนั้นจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1. กลุ่มโรคที่พบได้บ่อย เช่น สะเก็ดเเงิน ปวดมาก 2. กลุ่มโรคที่พบได้น้อย อาทิ กลุ่มโรคทางกรรมพันธุ์ โรคเด็กผีเสื้อ โรคหนังหนา  โดยจะใช้เป็นลักษณะครีมทา.