ห่วงเด็กไทยเตี้ย แนะดื่มนมจืด-กินไข่-กระโดดโลดเต้น
การเมือง
เมื่อวันที่ 30 พ.ค. ที่ศูนย์เด็กเล็กวัลลภ ไทยเหนือ พญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวในการแถลงข่าววันดื่มนมโลกซึ่งตรงกับวันที่ 1 มิ.ย.ของทุกปี ว่า กรมฯส่งเสริมให้เด็กไทยสูงใหญ่สมส่วน สมองดี ซึ่งความสูงเป็นตัวสะท้อนว่ามีการดูแลเด็กเป็นอย่างดีได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ เติบโตอย่างแข็งแรง ทั้งนี้จากการสำรวจพบว่าเด็กไทยอายุ 6-14 ปี ยังมีภาวะเตี้ย ร้อยละ 8.8 ซึ่งกรมตั้งเป้าให้ลดลงเหลือ ร้อยละ 5 โดยความสูงเฉลี่ยของเด็กไทยเมื่ออายุ 12 ปี ในเด็กหญิงควรสูงที่ 155 เซนติเมตร แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 149.9 เซนติเมตร ส่วนเด็กชายควรอยู่ที่ 154 เซนติเมตร ปัจจุบันอยู่ที่ 148.6 เซนติเมตร จึงจำเป็นต้องมีการกระตุ้นให้เด็กๆ สูงดีสมส่วน
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เด็กมีความสูงเพิ่มขึ้นมี 4 ปัจจัย คือ 1. การดื่มนมโคสด ซึ่งมีทั้งโปรตีนและแคลเซียม โดยควรดื่มวันละ 2 กล่อง หรือ 2 แก้วทุกวัน 2.การรับประทานไข่วันละ 1 ฟอง 3.การกระโดดโลดเต้น การเคลื่อนไหวร่างกาย 60 นาทีทุกวัน เพื่อให้เกิดแรงกระแทกและการยืดเหยียดจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างกระดูก พอมีแคลเซียมจากนมเข้าไปเสริมก็จะช่วยทำให้สูงเพิ่มขึ้น และ 4.การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ 9-11 ชั่วโมง เนื่องจากร่างกายจะหลั่งโกรว์ธฮอร์โมน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการกระตุ้นการเจริญเติบโต ทั้งนี้การส่งเสริมการดื่มนมเพื่อให้เด็กสูง ควรเริ่มตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ เพราะหากแม่ตั้งครรภ์ดื่มนม 2 แก้วทุกวัน จะช่วยให้เด็กตัวยาวตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จึงถือว่ามีต้นทุนที่ดีกว่า
พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเด็กเล็กจนถึงอายุ 12 ปี ประเทศไทยมีสวัสดิการนมโรงเรียนให้ดื่มวันละ 1 กล่องทุกวัน จึงอยากเชิญชวนให้ครอบครัวส่งเสริมการดื่มนมเพิ่มอีกวันละ 1 กล่องก็จะครบ 2 กล่องต่อวันพอดี ซึ่งปัจจุบันพบว่าเด็กไทยดื่มนมวันละ 2 กล่องได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนเด็กวัย 12 ปี ดื่มลมลดลง ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ไม่มีนมโรงเรียนแจกฟรีแล้ว ดังนั้นจะต้องส่งเสริมให้เด็กเห็นความสำคัญของการดื่มนมเพื่อให้เกิดการดื่มนมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องอาศัย 2 ปัจจัย คือ 1.ตัวคนดื่มเอง ต้องสร้างเสริมนิสัยและฝึกให้ดื่มนมจนคุ้นชิน และ 2.สิ่งแวดล้อม ที่จะส่งเสริมพฤติกรรมการดื่ม ซึ่งครอบครัวต้องเข้ามาช่วยดูแล สำหรับการขยายนมโรงเรียนให้เด็กโตนั้น ต้องมาประเมินความคุ้มทุนคุ้มค่าและมีประโยชน์มากขึ้นหรือไม่ แต่ที่ปัจจุบันไม่ได้ให้เด็กโตก็เพื่อให้เกิดการดื่มด้วยตนเอง
"ขอย้ำว่า การดื่มนมควรจะเป็นนมโคสดแท้รสจืด เพราะหากมีการเติมรสชาติลงไป เท่ากับน้ำนมโคจะลดลง การดื่ม 1 กล่องก็จะได้ไม่ครบกล่อง ซ้ำยังได้รับน้ำตาลเพิ่มจนส่งผลเสียต่อร่างกายด้วย การฝึกให้ลูกดื่มนมรสจืดจึงสำคัญ และไม่ควรตามใจให้ไปดื่มนมเปรี้ยวแทน จะยิ่งติดรสและแก้ไขได้ยาก ส่วนการดื่มนมช่วงตั้งครรภ์จะทำให้ลูกเกิดการแพ้นมวัวก็ไม่จริง เพราะการแพ้เป็นกลุ่มเฉพาะบุคคลที่มีปัจจัยเสี่ยในการแพ้อยู่แล้ว และถ่ายทอดไปยังลูกได้ การดื่มน้ำนมถั่วเหลืองแม้จะได้รับโปรตีน แต่มีแคลเซียมน้อย ไม่เหมือนการดื่มนมโค หากจะดื่มนมชนิดอื่นก็ต้องมีการรับประทานอาหารอย่างอื่นที่มีแคลเซียมด้วย แต่นมโคจะดีที่สุด เพราะมีทั้งแคลเซียม โปรตีน และสารอาหารอื่นๆ ที่นำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างกระดูกได้ทันที ซึ่งดีกว่าการให้กินอาหารเสริมแคลเซียม" พญ.พรรณพิมล กล่าว.
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้เด็กมีความสูงเพิ่มขึ้นมี 4 ปัจจัย คือ 1. การดื่มนมโคสด ซึ่งมีทั้งโปรตีนและแคลเซียม โดยควรดื่มวันละ 2 กล่อง หรือ 2 แก้วทุกวัน 2.การรับประทานไข่วันละ 1 ฟอง 3.การกระโดดโลดเต้น การเคลื่อนไหวร่างกาย 60 นาทีทุกวัน เพื่อให้เกิดแรงกระแทกและการยืดเหยียดจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการสร้างกระดูก พอมีแคลเซียมจากนมเข้าไปเสริมก็จะช่วยทำให้สูงเพิ่มขึ้น และ 4.การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ 9-11 ชั่วโมง เนื่องจากร่างกายจะหลั่งโกรว์ธฮอร์โมน ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญในการกระตุ้นการเจริญเติบโต ทั้งนี้การส่งเสริมการดื่มนมเพื่อให้เด็กสูง ควรเริ่มตั้งแต่ช่วงตั้งครรภ์ เพราะหากแม่ตั้งครรภ์ดื่มนม 2 แก้วทุกวัน จะช่วยให้เด็กตัวยาวตั้งแต่อยู่ในครรภ์ จึงถือว่ามีต้นทุนที่ดีกว่า
พญ.พรรณพิมล กล่าวต่อว่า ปัจจุบันเด็กเล็กจนถึงอายุ 12 ปี ประเทศไทยมีสวัสดิการนมโรงเรียนให้ดื่มวันละ 1 กล่องทุกวัน จึงอยากเชิญชวนให้ครอบครัวส่งเสริมการดื่มนมเพิ่มอีกวันละ 1 กล่องก็จะครบ 2 กล่องต่อวันพอดี ซึ่งปัจจุบันพบว่าเด็กไทยดื่มนมวันละ 2 กล่องได้ประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนเด็กวัย 12 ปี ดื่มลมลดลง ส่วนหนึ่งอาจมาจากการที่ไม่มีนมโรงเรียนแจกฟรีแล้ว ดังนั้นจะต้องส่งเสริมให้เด็กเห็นความสำคัญของการดื่มนมเพื่อให้เกิดการดื่มนมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องอาศัย 2 ปัจจัย คือ 1.ตัวคนดื่มเอง ต้องสร้างเสริมนิสัยและฝึกให้ดื่มนมจนคุ้นชิน และ 2.สิ่งแวดล้อม ที่จะส่งเสริมพฤติกรรมการดื่ม ซึ่งครอบครัวต้องเข้ามาช่วยดูแล สำหรับการขยายนมโรงเรียนให้เด็กโตนั้น ต้องมาประเมินความคุ้มทุนคุ้มค่าและมีประโยชน์มากขึ้นหรือไม่ แต่ที่ปัจจุบันไม่ได้ให้เด็กโตก็เพื่อให้เกิดการดื่มด้วยตนเอง
"ขอย้ำว่า การดื่มนมควรจะเป็นนมโคสดแท้รสจืด เพราะหากมีการเติมรสชาติลงไป เท่ากับน้ำนมโคจะลดลง การดื่ม 1 กล่องก็จะได้ไม่ครบกล่อง ซ้ำยังได้รับน้ำตาลเพิ่มจนส่งผลเสียต่อร่างกายด้วย การฝึกให้ลูกดื่มนมรสจืดจึงสำคัญ และไม่ควรตามใจให้ไปดื่มนมเปรี้ยวแทน จะยิ่งติดรสและแก้ไขได้ยาก ส่วนการดื่มนมช่วงตั้งครรภ์จะทำให้ลูกเกิดการแพ้นมวัวก็ไม่จริง เพราะการแพ้เป็นกลุ่มเฉพาะบุคคลที่มีปัจจัยเสี่ยในการแพ้อยู่แล้ว และถ่ายทอดไปยังลูกได้ การดื่มน้ำนมถั่วเหลืองแม้จะได้รับโปรตีน แต่มีแคลเซียมน้อย ไม่เหมือนการดื่มนมโค หากจะดื่มนมชนิดอื่นก็ต้องมีการรับประทานอาหารอย่างอื่นที่มีแคลเซียมด้วย แต่นมโคจะดีที่สุด เพราะมีทั้งแคลเซียม โปรตีน และสารอาหารอื่นๆ ที่นำไปใช้ประโยชน์ในการสร้างกระดูกได้ทันที ซึ่งดีกว่าการให้กินอาหารเสริมแคลเซียม" พญ.พรรณพิมล กล่าว.