ปชป.นัดประชุมส.ส.4 มิ.ย.เคาะทิศทางก่อนโหวตนายกฯ
การเมือง
เมื่อวันที่ 1 มิ.ย. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงความชัดเจนในการร่วมรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐ ว่า ความชัดเจนน่าจะอยู่ที่พรรคพลังประชารัฐ เพราะตอนที่เขาเชิญเรา เราได้ยื่นเงื่อนไขไป แต่เขากลับเงียบ ไม่แจ้งข่าวหรือความชัดเจนใดๆ ดังนั้นพรรคพลังประชารัฐต้องมีความชัดเจนและไปจัดการปัญหาภายในของพรรคพลังประชารัฐให้เรียบร้อยก่อน ส่วนผลจะออกมาเป็นอย่างไรนั้น พรรคประชาธิปัตย์จะหยิบยกเรื่องเหล่านั้นเข้าสู่ที่ประชุมของพรรคเพื่อพิจารณาตามข้อบังคับต่อไป ทั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่ฝ่ายยื้อหรือต่อรองอะไร พรรคน้อมรับมติของแต่ละพรรคการเมือง โดยเงื่อนไขของเรายังมีแค่เรื่องการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญและการประกันรายได้เกษตรกร ซึ่งกระบวนการดำเนินการของเราทั้งหมดคิดเพื่อประชาชนและประเทศ โดยไม่มีเรื่องแบ่งตำแหน่งรัฐมนตรีเข้ามาเกี่ยวข้อง ตอนนี้จึงรอเพียงความชัดเจนจากพรรคพลังประชารัฐเท่านั้น ทั้งนี้การพูดคุยทั้งหมดยังเป็นหน้าที่ของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งถ้ามีข้อเสนอใดๆจากพรรคที่พูดคุยมา เลขาธิการพรรคจะนำมาแจ้งให้ที่ประชุมรับทราบ โดยยืนยันว่าส.ส.ของพรรคจะลงมติในทิศทางเดียวกัน ไม่ว่าที่ประชุมจะมีมติออกมาอย่างไร
นายราเมศ กล่าวอีกว่า ส่วนการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 5 มิ.ย.นั้น พรรคประชาธิปัตย์จะมีการเรียกประชุมส.ส.ในวันที่ 4 มิ.ย. เวลา 13.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ ขณะเดียวกันแจ้งให้คณะกรรมการบริหารพรรคทุกคนเตรียมตัวอยู่ที่พรรคทุกวันหากมีกรณีการเรียกประชุมด่วนหรือจะต้องกำหนดทิศทางใดๆของพรรค
เมื่อถามว่าถ้าที่ประชุมมีมติให้ลงมติเลือกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค จะลงมติตามนี้ด้วยหรือไม่ เพราะอาจเป็นการผิดคำพูดที่นายอภิสิทธิ์เคยประกาศไว้ นายราเมศ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอให้มีการประชุมก่อน สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศไว้นั้น พรรคถือเป็นสาระสำคัญของพรรค แต่การที่พรรคจะมีมติอย่างไรนั้นอยู่ที่สมาชิกของพรรคเป็นผู้ลงมติ
ต่อข้อถามถึงกรณีที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และคณะส.ส.ของพรรค พบกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในงาน “THAIFEX – World of Food Asia 2019” ที่เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา จะถูกมองว่าเป็นท่าทีที่จะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐใช่หรือไม่ นายราเมศ กล่าวว่า เป็นการพบกันในงานตามปกติ สมาชิกทุกคนมีเพียง 1 เสียงซึ่งไม่สามารถถือเป็นมติของพรรคได้ ดังนั้นใครจะไปพบใคร เขาก็เพียง 1 เสียง เมื่อถามว่าถ้ามีพรรคมีมติออกมาอย่างหนึ่งอย่างใด แต่มีส.ส.ไปโหวตงดออกเสียง จะถือว่าเป็นงูเห่าหรือไม่ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์มีเอกภาพและเรายึดมติพรรค
เมื่อถามว่าตอนนี้มีแนวโน้มกี่เปอร์เซ็นต์ที่พรรคจะไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ นายราเมศ กล่าวว่า คงตอบเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ เพราะต้องรอผลประชุมของพรรคในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ เมื่อถามต่อถึงกระแสข่าวที่ว่าพรรคอนาคตใหม่ติดต่อประสานงานมาที่พรรคประชาธิปัตย์ด้วย แต่ติดขัดที่ไม่สามารถตกลงกันในเรื่องตำแหน่งนายกฯได้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่เคยทราบเรื่องของพรรคอนาคตใหม่เลย.
ด้านนายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ และสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ ว่า จะเป็นจุดหักเหครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีอายุยาวนานกว่า 73 ปี ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่า ถ้าไม่เข้าร่วมรัฐบาล พรรคก็เตรียมตัวสูญพันธุ์ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าถ้าเข้าร่วม ก็เตรียมตัวสูญพันธุ์เช่นกัน คณะผู้บริหารพรรคและสส.ของพรรคจึงตกอยู่ในภาวะวิกฤตของสถานการณ์การเมืองที่สุ่มเสี่ยงมากที่สุด ตนในฐานะสมาชิกพรรคคนหนึ่งขอเสนอให้ 1.ให้ยึดอุดมการณ์ของพรรคที่ว่าไม่สนับสนุนเผด็จการทุกรูปแบบ 2.ให้คำนึงถึงสัญญาประชาคมที่ไปปราศรัยบอกประชาชนทั่วประเทศที่ประกาศว่าไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป 3.ให้มองไปข้างหน้าว่าไม่มีพรรคประชาธิปัตย์เขาก็จัดตั้งรัฐบาลได้ พวกเขาก็ประกาศชัดเจนแล้ว
นายวัชระ กล่าวอีกว่า 4.ถึงเข้าร่วมรัฐบาล ก็ไม่มีเกียรติ จะเป็นรัฐบาลหิ่งห้อย ติดๆดับๆจะล่มเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะไม่มีเสถียรภาพและความมั่นคงใดๆ 5.ถ้าเข้าร่วมรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค อาจลาออกจากส.ส.เพื่อรักษาจุดยืนทางการเมืองของตัวเอง พรรคประชาธิปัตย์จะยอมเช่นนี้หรือเพื่อแลกกับความอยากของบางคนที่อยากเป็นรัฐมนตรีเท่านั้น 6.เมื่อคนทั้งประเทศก็รู้ว่าเป็นรัฐบาลอายุสั้นๆ แต่ไม่มีทางที่จะมีเสถียรภาพได้ แล้วจะไปสร้างผลงานให้ประชาชนได้อย่างไร นอกจากจะถ่ายรูปเก้าอี้รัฐมนตรีเอาไว้ติดฝาบ้านของตัวเองให้ดูโก้ๆ
“ผมที่เห็นด้วยกับจุดยืนของนายอภิสิทธิ์ เพราะเรามองไปข้างหน้า ว่าการสืบทอดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์จะไม่แตกต่างอะไรกับพล.อ.สุจินดา คราประยูร ในสมัยพฤษภาทมิฬ จึงขออนุญาตแนะนำพลเอกประยุทธ์ด้วยความเคารพรักว่า ท่านควรปฏิบัติตามรอย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษอาวุโสของประเทศ ที่ประกาศต่อหน้า พรรคการเมืองทุกพรรคที่ไปขอให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกว่า ผมพอแล้ว เพื่อประเทศจะได้เดินหน้า ไม่ต้องให้ฝ่ายใดใช้พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์หรือสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งครั้งใหม่อีกต่อไป นักการเมืองที่พูดแล้วไม่รักษาคำพูด เขาเรียกว่าตระบัดสัตย์ ภาษาชาวบ้านเขาบอกว่าตอแหล ถ้าพูดแล้วเปลี่ยนสีแปรธาตุ ชาวบ้านจะเชื่อถือได้อย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ต้องสร้างบรรทัดฐานให้เป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชนและเยาวชนอย่าไปพูดจาเชื่อถือไม่ได้ กลับไปกลับมาอย่างนักการเมืองหรือทหารบางคน” นายวัชระ กล่าว.
นายราเมศ กล่าวอีกว่า ส่วนการประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 5 มิ.ย.นั้น พรรคประชาธิปัตย์จะมีการเรียกประชุมส.ส.ในวันที่ 4 มิ.ย. เวลา 13.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ ขณะเดียวกันแจ้งให้คณะกรรมการบริหารพรรคทุกคนเตรียมตัวอยู่ที่พรรคทุกวันหากมีกรณีการเรียกประชุมด่วนหรือจะต้องกำหนดทิศทางใดๆของพรรค
เมื่อถามว่าถ้าที่ประชุมมีมติให้ลงมติเลือกพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค จะลงมติตามนี้ด้วยหรือไม่ เพราะอาจเป็นการผิดคำพูดที่นายอภิสิทธิ์เคยประกาศไว้ นายราเมศ กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องรอให้มีการประชุมก่อน สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ได้ประกาศไว้นั้น พรรคถือเป็นสาระสำคัญของพรรค แต่การที่พรรคจะมีมติอย่างไรนั้นอยู่ที่สมาชิกของพรรคเป็นผู้ลงมติ
ต่อข้อถามถึงกรณีที่นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.บัญชีรายชื่อ และคณะส.ส.ของพรรค พบกับนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ในงาน “THAIFEX – World of Food Asia 2019” ที่เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 31 พ.ค.ที่ผ่านมา จะถูกมองว่าเป็นท่าทีที่จะไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐใช่หรือไม่ นายราเมศ กล่าวว่า เป็นการพบกันในงานตามปกติ สมาชิกทุกคนมีเพียง 1 เสียงซึ่งไม่สามารถถือเป็นมติของพรรคได้ ดังนั้นใครจะไปพบใคร เขาก็เพียง 1 เสียง เมื่อถามว่าถ้ามีพรรคมีมติออกมาอย่างหนึ่งอย่างใด แต่มีส.ส.ไปโหวตงดออกเสียง จะถือว่าเป็นงูเห่าหรือไม่ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์มีเอกภาพและเรายึดมติพรรค
เมื่อถามว่าตอนนี้มีแนวโน้มกี่เปอร์เซ็นต์ที่พรรคจะไปร่วมงานกับพรรคพลังประชารัฐ นายราเมศ กล่าวว่า คงตอบเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ว่าจะเข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ เพราะต้องรอผลประชุมของพรรคในวันที่ 4 มิ.ย.นี้ เมื่อถามต่อถึงกระแสข่าวที่ว่าพรรคอนาคตใหม่ติดต่อประสานงานมาที่พรรคประชาธิปัตย์ด้วย แต่ติดขัดที่ไม่สามารถตกลงกันในเรื่องตำแหน่งนายกฯได้ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ไม่เคยทราบเรื่องของพรรคอนาคตใหม่เลย.
ด้านนายวัชระ เพชรทอง อดีตส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ และสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไปหรือไม่ ว่า จะเป็นจุดหักเหครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์ที่มีอายุยาวนานกว่า 73 ปี ฝ่ายหนึ่งก็บอกว่า ถ้าไม่เข้าร่วมรัฐบาล พรรคก็เตรียมตัวสูญพันธุ์ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งบอกว่าถ้าเข้าร่วม ก็เตรียมตัวสูญพันธุ์เช่นกัน คณะผู้บริหารพรรคและสส.ของพรรคจึงตกอยู่ในภาวะวิกฤตของสถานการณ์การเมืองที่สุ่มเสี่ยงมากที่สุด ตนในฐานะสมาชิกพรรคคนหนึ่งขอเสนอให้ 1.ให้ยึดอุดมการณ์ของพรรคที่ว่าไม่สนับสนุนเผด็จการทุกรูปแบบ 2.ให้คำนึงถึงสัญญาประชาคมที่ไปปราศรัยบอกประชาชนทั่วประเทศที่ประกาศว่าไม่สนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกต่อไป 3.ให้มองไปข้างหน้าว่าไม่มีพรรคประชาธิปัตย์เขาก็จัดตั้งรัฐบาลได้ พวกเขาก็ประกาศชัดเจนแล้ว
นายวัชระ กล่าวอีกว่า 4.ถึงเข้าร่วมรัฐบาล ก็ไม่มีเกียรติ จะเป็นรัฐบาลหิ่งห้อย ติดๆดับๆจะล่มเมื่อไรก็ไม่รู้ เพราะไม่มีเสถียรภาพและความมั่นคงใดๆ 5.ถ้าเข้าร่วมรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค อาจลาออกจากส.ส.เพื่อรักษาจุดยืนทางการเมืองของตัวเอง พรรคประชาธิปัตย์จะยอมเช่นนี้หรือเพื่อแลกกับความอยากของบางคนที่อยากเป็นรัฐมนตรีเท่านั้น 6.เมื่อคนทั้งประเทศก็รู้ว่าเป็นรัฐบาลอายุสั้นๆ แต่ไม่มีทางที่จะมีเสถียรภาพได้ แล้วจะไปสร้างผลงานให้ประชาชนได้อย่างไร นอกจากจะถ่ายรูปเก้าอี้รัฐมนตรีเอาไว้ติดฝาบ้านของตัวเองให้ดูโก้ๆ
“ผมที่เห็นด้วยกับจุดยืนของนายอภิสิทธิ์ เพราะเรามองไปข้างหน้า ว่าการสืบทอดอำนาจของพล.อ.ประยุทธ์จะไม่แตกต่างอะไรกับพล.อ.สุจินดา คราประยูร ในสมัยพฤษภาทมิฬ จึงขออนุญาตแนะนำพลเอกประยุทธ์ด้วยความเคารพรักว่า ท่านควรปฏิบัติตามรอย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษอาวุโสของประเทศ ที่ประกาศต่อหน้า พรรคการเมืองทุกพรรคที่ไปขอให้เป็นนายกรัฐมนตรีอีกว่า ผมพอแล้ว เพื่อประเทศจะได้เดินหน้า ไม่ต้องให้ฝ่ายใดใช้พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์หรือสร้างเงื่อนไขความขัดแย้งครั้งใหม่อีกต่อไป นักการเมืองที่พูดแล้วไม่รักษาคำพูด เขาเรียกว่าตระบัดสัตย์ ภาษาชาวบ้านเขาบอกว่าตอแหล ถ้าพูดแล้วเปลี่ยนสีแปรธาตุ ชาวบ้านจะเชื่อถือได้อย่างไร พรรคประชาธิปัตย์ต้องสร้างบรรทัดฐานให้เป็นที่น่าเชื่อถือของประชาชนและเยาวชนอย่าไปพูดจาเชื่อถือไม่ได้ กลับไปกลับมาอย่างนักการเมืองหรือทหารบางคน” นายวัชระ กล่าว.